เมื่อวันศุกร์ที่ 27 กันยายนที่ผ่านมา Reuters รายงานว่า กองทุนประกันสังคมของไทยเตรียมจัดสรรงบประมาณราว 3.8 แสนล้านบาท จากสินทรัพย์ภายใต้การจัดการ (Asset Under Management: AUM) มูลค่า 2.5 ล้านล้านบาท ไปลงทุนในสินทรัพย์ต่างประเทศ หลังจากที่ผลตอบแทนจากการลงทุนในประเทศอยู่ในระดับต่ำเพียง 3% อย่างต่อเนื่องมากกว่า 10 ปี จากปัจจัยด้านสังคมสูงวัยและการเติบโตทางเศรษฐกิจในประเทศที่ช้าลง ทั้งนี้เพื่อให้สามารถจ่ายเงินกับคนวัยเกษียณที่จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องได้เพียงพอ
กองทุนประกันสังคมไทยเป็นหนึ่งในกองทุนที่มีมูลค่ามากที่สุดในไทย และมีวัตถุประสงค์สำหรับการนำผลตอบแทนไปช่วยเหลือด้านระบบสุขภาพ และการว่างงาน สำหรับประชากร 25 ล้านราย แต่ด้วยผลตอบแทนที่ต่ำกว่าเป้าหมายของกองทุน ทำให้ต้องปรับนโยบายการลงทุนดังกล่าวใหม่ จากเดิมที่จะลงทุนในประเทศไทย ปรับเปลี่ยนเป็นไปลงทุนในตลาดต่างประเทศมากขึ้น
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- 5 ปีไม่เคยขึ้นค่าตอบแทน! โรงพยาบาลเอกชนโอดครวญ ประกันสังคมลดค่ารักษาสูงถึง 40% ชี้ 10 ปีถอนตัว 27 แห่ง และอาจมีอีก จนทำผู้ป่วยเดือดร้อน
- รพ.เอกชนโอด ประกันสังคมลดค่ารักษา 40% ชี้ 10 ปี ถอนตัว 27 แห่ง | THE STANDARD WEALTH
Phantira Vergara กรรมการการลงทุนของกองทุนประกันสังคม และอดีตกรรมการบริหารด้าน Private Wealth ที่ Goldman Sachs ชี้ว่า การเน้นลงทุนในประเทศของกองทุนประกันสังคมที่ให้ผลตอบแทนน้อยและประเมินกันว่าความเสี่ยงต่ำ นับว่าเป็นกลยุทธ์ที่ไม่ยั่งยืน
การกระจุกตัวในสินทรัพย์เฉพาะในประเทศไทยของกองทุนประกันสังคม ณ ขณะนี้อาจดูเหมือนปลอดภัยในระยะสั้น แต่จะทำลายโอกาสการเติบโตของพอร์ตการลงทุนในระยะยาว
และเมื่อดูจากข้อมูลของรัฐบาลไทยพบว่า ประเทศไทยกำลังกลายเป็นสังคมสูงวัยมากขึ้นเรื่อยๆ และมีประชากรที่อายุเกิน 60 ปี กว่า 20% ของประชากรทั้งหมดในไทย (66 ล้านคน) คิดเป็นจำนวน 13 ล้านราย ณ สิ้นปี 2023 เทียบกับเมื่อ 10 ปีที่แล้ว มีเพียงแค่ 10% ของประชากรทั้งหมด หรือประมาณ 6.2 ล้านรายเท่านั้น
ทั้งนี้นโยบายการลงทุนที่เปลี่ยนแปลงไปเกิดขึ้นจากคณะกรรมการชุดใหม่ที่ได้รับการแต่งตั้งขึ้นในช่วงปลายปี 2023 เป็นผลจากการเปลี่ยนรัฐบาลในช่วงปีก่อน เพราะในช่วงก่อนหน้านั้นคณะกรรมการล้วนได้รับการแต่งตั้งมาตั้งแต่ปี 2014 โดยรัฐบาลที่รัฐประหาร
Vergara ชี้ว่า กรอบนโยบายการลงทุนใหม่จะเริ่มในปี 2025 โดยจะลดน้ำหนักการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงต่ำจาก 70% เหลือ 60% และเพิ่มน้ำหนักในสินทรัพย์เสี่ยงจาก 30% ไปแตะ 40% ภายในระยะเวลา 2 ปี และน้ำหนักการลงทุนในประเทศและต่างประเทศจะปรับเป็น 50-50% ภายในกลางปี 2027
ซึ่งในสินทรัพย์เสี่ยงสัดส่วนราว 15% หรือประมาณ 3.8 แสนล้านบาท จะถูกจัดสรรไปลงทุนในสินทรัพย์แบบปิดในต่างประเทศ (Global Private Asset) เช่น Private Equity, Private Credit และ Hedge Fund ภายในกลางปี 2027
เนื่องจากเพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายคือ การทำให้พอร์ตการลงทุนมีความเป็นสากลที่กระจายการลงทุนไปในต่างประเทศมากขึ้น เพื่อให้ได้ผลตอบแทนในระยะยาวที่สูงขึ้น
จากข้อมูลของ Thinking Ahead Institute เกี่ยวกับผลตอบแทนของกองทุนบำนาญทั่วโลกพบว่าให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 7.7% ต่อปีในเวลา 5 ปี โดยมีสัดส่วนการลงทุนหุ้นต่างประเทศ 60% และพันธบัตรต่างประเทศ 40%
เทียบกับผลตอบแทนของกองทุนประกันสังคมไทยที่มีขนาดใหญ่ตามมูลค่าเศรษฐกิจเป็นอันดับ 2 ของอาเซียน ทำผลตอบแทนได้เพียง 2.7% ต่อปีในระยะเวลา 5 ปี
ศ. ดร.วรวรรณ ชาญด้วยวิทย์ ที่ปรึกษาของ Thailand Development Research Institute (TDRI) เกี่ยวกับกองทุนประกันสังคม เผยว่า คนไทยวัยเกษียณราว 700,000 คนมีสิทธิ์ในการเข้าถึงเงินก้อนนี้ และกำลังจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในปีถัดๆ ไป ซึ่งจะทำให้กองทุนดังกล่าวขาดเงินภายในปี 2045
ศ. ดร.วรวรรณ กล่าวว่า การทำผลตอบแทนในระดับสูงให้ได้และมีธรรมาภิบาลที่ดีในระยะยาว จะเป็นสิ่งยืนยันที่ดีว่ากองทุนจะสามารถมีเงินได้อย่างเพียงพอต่อผู้มีสิทธิ์ในกองทุนดังกล่าว
อ้างอิง: