วันนี้ (9 มิถุนายน) ที่อาคารอนาคตใหม่ พรรคก้าวไกล พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส. แบบบัญชีรายชื่อ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล แถลง 9 ข้อต่อสู้ 3 แนวทางในคดีการยุบพรรคก้าวไกล โดยระบุว่า ตนเองจะนำเสนอข้อเท็จจริง ข้อกฎหมายของคดี ที่สอดคล้องกับข้อกังวลของศาลรัฐธรรมนูญที่ไม่อยากให้แสดงความเห็นที่จะชี้นำสังคม ประกอบด้วย
ขอบเขตอำนาจศาลและกระบวนการ
1. ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีเขตอำนาจพิจารณาวินิจฉัยในคดีนี้ เนื่องจากตามมาตรา 210 ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจหน้าที่พิจารณาวินิจฉัยความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมายหรือร่างกฎหมาย, พิจารณาวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา รัฐสภา คณะรัฐมนตรี หรือองค์กรอิสระ และมีหน้าที่และอำนาจอื่นตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ
2. กระบวนการยื่นคำร้องของ กกต. ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากผู้ถูกร้องไม่มีโอกาสรับทราบ โต้แย้ง หรือแสดงพยานหลักฐานของตน
พร้อมยกตัวอย่างว่า ในการยุบพรรคไทยรักไทยในอดีต เป็นการดำเนินการตามมาตรา 92 ประกอบมาตรา 93 ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยพรรคการเมือง ซึ่งปัจจุบันนี้มีการเพิ่มหลักเกณฑ์ และวิธีของ กกต. เกี่ยวกับมาตรา 93 ซึ่งเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2566 โดยอ้างอิงเอกสาร กกต. ‘การสิ้นสุดของพรรคการเมืองและการเปรียบเทียบปรับ’ การยื่นฟ้องดังกล่าวจึงทำให้ขัดต่อระเบียบของ กกต.
ข้อเท็จจริง
3. คำวินิจฉัยเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2567 ไม่ผูกพันการวินิจฉัยคดีนี้ เนื่องจากเป็นคนละคดีกัน หากการวินิจฉัยจะผูกพันต่อเนื่องกันจะต้องเป็นข้อหาเดียวกัน รวมถึงต้องมีระดับโทษใกล้เคียงกัน ซึ่งเรื่องนี้ถือว่าต่างจุดประสงค์และต่างข้อกฎหมาย มาตรฐานในการพิจารณาคดีจึงต้องมีความเข้มข้นต่างกัน
พิธาอธิบายว่า คดีเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2567 เป็นข้อหาตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 (1), (2) ส่วนคดีนี้เป็น พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา 92 (1) ซึ่งคดีแรกสั่งให้เลิกการกระทำ และคดีนี้จะสั่งยุบพรรคการเมือง รวมถึงกรรมการบริหารพรรค แต่คดีนี้ไม่มีความผูกพันกัน จึงต้องมีการพิจารณาข้อเท็จจริงตามคดีใหม่
4. การกระทำที่ถูกกล่าวหาไม่ถือว่าเป็นการล้มล้าง ไม่อาจเป็นปฏิปักษ์
5. การกระทำตามคำวินิจฉัยเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2567 ไม่ได้เป็นมติพรรค
6. โทษยุบพรรคต้องเป็นมาตรการสุดท้ายเมื่อจำเป็นฉุกเฉินฉับพลัน และไม่มีวิธีแก้ไขอื่น พร้อมย้ำว่า ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจเฉพาะ 3 ข้อเท่านั้น ส่วนที่เหลือเป็นกฎหมายรอง ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจตัดสินคดีนี้
พิธากล่าวด้วยว่า การสั่งยุบพรรคเกิดขึ้นได้ แต่ต้องเป็นไปตามหลักประชาธิปไตย โดยยกคำวินิจฉัยกรณีเมื่อปี 2560 ของพรรคการเมืองเยอรมนี เคยแสดงออกด้วยอุดมการณ์นาซี และศาลรัฐธรรมนูญของเยอรมนีตัดสินว่าเป็นการล้มล้าง แต่ไม่ยุบพรรค เพราะไม่มีหลักฐานเป็นรูปธรรมที่พิสูจน์ได้ว่าจะมีโอกาสประสบความสำเร็จ
7. ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรค
8. จำนวนปีในการตัดสิทธิทางการเมืองต้องได้สัดส่วนกับความผิด
9. การพิจารณาโทษต้องสอดคล้องกับชุดกรรมการบริหารในช่วงที่ถูกกล่าวหา
พิธาระบุว่า การวินิจฉัยขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาล ตนเองเคารพในดุลพินิจของศาล ไม่ขอก้าวล่วง หากศาลเห็นด้วยว่าสองคดีต่างกันก็ควรเปิดโอกาสให้มีการไต่สวน ซึ่งพรรคก้าวไกลเตรียมผู้เชี่ยวชาญไว้ไต่สวนมากกว่า 10 คน และหากถูกยุบก็เตรียมตัวไว้ทุกสถานการณ์
“ผมเชื่อว่าไม่มีใครพูดได้ว่าจะยุบหรือไม่ยุบ เพราะยุบ 2 พรรคใน 5 ปี ยุบ 5 ครั้งในรอบ 20 ปี ผมไม่กล้าเดาหรือคิดเหมือนกันว่าจะกระทบอะไรกับการเมืองและความเชื่อมั่นในประเทศ ในช่วงที่ทั้งเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมไทย กำลังเปราะบางขนาดนี้ ก็ไม่อยากให้ไปถึงตรงจุดนั้น” พิธากล่าว
พิธายังมองว่า การรักษาพรรคการเมืองไม่น่าจะถึงขั้นต้องยุบพรรค การตักเตือนน่าจะเพียงพอแล้ว ควรเอาการยุบพรรคมาใช้ในกรณีสุดท้าย ส่วนหากมีการยุบพรรคจริง พิธายืนยันว่า สมาชิกพรรคยังเหนียวแน่น เป็นเอกภาพ เป็นปึกแผ่น และการเป็นงูเห่าคือการฆ่าตัวตายทางการเมือง 100% พร้อมย้ำว่า ตนเองไม่ได้ไร้เดียงสา แต่รู้ทันว่ามีคนอยากได้ สส. ไปต่อรองการเมือง แต่ยังเชื่อในระบบและอุดมการณ์ของ สส. พรรค
ส่วนคำร้องที่ กกต. ร้อง รวมตัดสิทธิกรรมการบริหารชุดใหม่หรือไม่ พิธาระบุว่า กกต. ตัดสิทธิทั้ง 3 ชุด แต่พรรคได้เตรียมข้อต่อสู้ไว้แล้ว ในข้อต่อสู้ที่ 9 คือการพิจารณาโทษต้องสอดคล้องกับชุดกรรมการบริหารในช่วงที่ถูกกล่าวหา
ส่วนถ้าเชื่อว่าศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจตัดสิทธิทางการเมืองหรือยุบพรรค จะร้องต่อศาลปกครองหรือไม่ พิธาระบุว่า ทีมกฎหมายได้พูดคุยเรื่องนี้กันแล้ว แต่ตนเองยังไม่ทราบรายละเอียด ขอใช้เวลาศึกษาก่อน