หากเป็นสายบรันช์ตัวจริง เราเชื่อว่าคุณจะต้องเคยแวะไปที่ Luka Bangkok แน่นอน เพราะที่นี่ได้ปักหลักเป็นหนึ่งในคาเฟ่อร่อยย่านสาทรมานานถึง 8 ปีแล้ว ข่าวดีคือทางร้านได้เปิดสาขาใหม่เอาใจชาวสุขุมวิทบ้าง แถมยังเพิ่มความพิเศษด้วยการเสิร์ฟเมนูดินเนอร์เป็นครั้งแรกอีกด้วย เรียกว่านั่งยาวได้ตั้งแต่ 8 โมงเช้ายัน 5 ทุ่มเลยทีเดียว
The Vibe
แค่ก้าวเข้ามาในร้านก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่แสนโฮมมี่ อบอุ่น แม้จะมีความดิบด้วยการตกแต่งสไตล์ Industrial แต่ก็ยังรู้สึกสดชื่นด้วยความเขียวขจีของต้นไม้และแจกันดอกไม้สีสันสดใสบนโต๊ะ
ที่นี่จะมีทั้งหมดสองชั้น ซึ่งล้วนให้บรรยากาศดีทั้งคู่ แต่ถ้าใครนั่งชั้นล่างก็อาจจะโดนโซนเบเกอรีและของหวานที่ตั้งอยู่กลางร้านตกเหมือนเรา เพราะเห็นแล้วอดน้ำลายสอไม่ได้จริงๆ
The Taste
หากลองไถฟีดอินสตาแกรมของร้านก็จะเห็นได้ว่า หน้าตาอาหารที่นี่ Instagrammable เป็นทุนเดิม แต่เป็นหน้าตาอาหารที่ดูสนุกสดใสแบบ Fun Dining ซึ่งเป็นคอนเซปต์ที่ทางร้านตั้งใจถ่ายทอดให้เหล่าลูกค้าที่มาสัมผัสได้
Steven Lim หนึ่งในพาร์ตเนอร์ของ Luka เล่าเรื่องราวเบื้องหลังการทำครัวน่ารักๆ ให้เราฟังว่า “ครั้งหนึ่งเชฟเคยเสิร์ฟอาหารมาให้ลอง หน้าตาของจานถูกตกแต่งมาอย่างสวยดูดีเลย แต่มันเนี้ยบเกินไป ผมเลยหยิบจานมา (ทำท่าเขย่า) หน้าตาอาหารของเราจะเนี้ยบเกินไม่ได้ เราอยากให้มันมีความสนุก ไม่ต้องทางการ”
Steven เสริมถึงหัวใจหลักของอาหารที่ Luka ว่า “We’ll serve what we’ll eat.” เราจะเสิร์ฟเฉพาะสิ่งที่เราเองก็อยากกิน ดังนั้นอาหารของที่นี่จะเป็นสไตล์ Modern Healthy ซึ่งเป็นการทวิสต์เมนูอาหารที่เราคุ้นเคยให้มีความเฮลตี้ยิ่งขึ้น แต่ยังคงความอร่อยอย่างมีเอกลักษณ์แบบฉบับ Luka
เริ่มต้นเปิดสเปซในกระเพาะกับ All-Day Breakfast Menu อันเลื่องชื่อ และเป็นที่รักของแฟนๆ Luka เป็นทุนเดิม
ประเดิมจานแรกกับ Luka Breakfast Burrito (330 บาท) เป็นที่รู้กันว่าเบอร์ริโตในเวอร์ชันปกติจะค่อนข้างเป็นอาหารที่หนักท้องเอาเรื่อง แต่สำหรับเวอร์ชันที่นี่จะใช้เป็นไข่ออร์แกนิกสองฟอง ชีสฉ่ำ ไส้กรอก Sloane ควินัว อะโวคาโด เสิร์ฟกับซาวครีม ซัลซา และซอสเผ็ดสูตรของทางร้าน
ต้องบอกว่าเป็นเบอร์ริโตในเวอร์ชันที่ดีต่อท้องและดีต่อใจจริงๆ เหมาะกับใครที่ไม่อยากได้อาหารเช้าที่หนักท้องจนเกินไป คอมบิเนชันทุกอย่างอร่อยลงตัว กินกับซัลซายิ่งอร่อย
หากใครที่แวะมาตอนกลางวันและมองหาเมนูสไตล์โบวล์สุดเฮลตี้ แนะนำให้ลอง Roasted Salmon Rice Bowl (370 บาท) เดิมทีชามนี้จะเสิร์ฟเป็นข้าวกล้อง แต่หากอยากเน้นโปรตีนเลยแนะนำให้เปลี่ยนข้าวกล้องเป็นข้าวถั่วลูกไก่ (Chickpea Rice 50 บาท) ใช่แล้ว มันคือข้าวที่ทำจากถั่วลูกไก่จริงๆ เพราะคุณจะได้โปรตีนจากถั่วเต็มๆ และยังเหมาะกับใครที่แพ้กลูเตนอีกด้วย ชามนี้ประกอบไปด้วยเห็ดดอง ข้าวโพด แตงกวาญี่ปุ่น และซอสงา ตักกินด้วยกันจะได้ความหอมอบอวลของทุกเอเลเมนต์ในปาก ฟินจนวางช้อนไม่ลง
มีอาหารแล้วจะขาดเครื่องดื่มไปได้อย่างไร ใครที่เป็นสายกาแฟโทนช็อกโกแลตหอมมันก็ยิ้มได้เลย เพราะกาแฟของที่นี่จะเป็นโทนนี้และคั่วกลาง แก้วสุดเลื่องชื่อของที่นี่คือ Salted Caramel Latte (120 บาท) ถ้าย้อนไป 8 ปีที่แล้ว Luka ถือเป็นร้านแรกๆ ที่เสิร์ฟเมนู Salted Caramel เลยทีเดียว ตัว Salted Caramel นั้นเป็นสูตรโฮมเมดที่มีความหอมหวาน เข้ากับตัวกาแฟและความละมุนของนมเป็นพิเศษ ซึ่งใครที่แพ้แล็กโทสก็เลือกเปลี่ยนเป็น Soy Milk หรือ Oat Milk ได้อีกด้วย
อันที่จริงถ้าใครที่อยากแค่แวะมาดื่มกาแฟหรือกินอะไรเบาๆ จะสั่งเป็น Cafe Latte (110 บาท) แบบร้อนมาจับคู่กินกับขนมของทางร้านก็ได้ แนะนำเป็น Pumpkin Cranberry Cookie (75 บาท) คุกกี้เฮลตี้เนื้อหนึบแน่นชิ้นโตที่อัดแน่นไปด้วยเมล็ดฟักทอง อัลมอนด์ โอ๊ตมีล และแครนเบอร์รี เชื่อว่าเป็นรสชาติที่สายเฮลตี้ชอบแน่นอน
ส่วนใครเป็นสายมัทฉะ ทางร้านก็มีเมนูใหม่น่าลองอย่าง Strawberry Matcha (160 บาท) ได้ทั้งความหอมละมุนของมัทฉะและนม พร้อมความเปรี้ยวสดชื่นของสตรอว์เบอร์รีในคำเดียว
หลังจิบดริงก์กันไปแล้วก็ต้องลุยกินจุบกินจิบกันต่อ หากคุณเคยกินกล้วยเบรกแตกแล้วติดใจจนเบรกแตก เราก็อยากให้คุณลอง Sweet Potato Nachos (230 บาท) ของที่นี่แล้วเบรกแตกไปด้วยกัน
ตอร์ติญาชิปส์แบบดั้งเดิมถูกแทนที่ด้วยชิปส์มันหวานที่สไลซ์ด้วยมือ เสิร์ฟกับซอสอะโวคาโดสุดครีมมี่ เรียกว่าเป็นนาโชส์ในเวอร์ชันที่เฮลตี้และอร่อยเพลินปากจริงๆ
มาเพิ่มความสดชื่นด้วยของหวานเย็นๆ กันบ้างกับ Acai Bowl (290 บาท) เท็กซ์เจอร์ของอาซาอิที่เราส่วนใหญ่คุ้นเคยจะเป็นลักษณะซอร์เบต แต่สำหรับที่นี่เท็กซ์เจอร์จะมีความครีมมี่เหมือนสมูทตี้ ด้วยความที่ต้นทุนของ Acai Bowl นั้นค่อนข้างสูง บางที่จึงอาจมีการผสมน้ำแข็งเข้าไปปั่นด้วย และเวลาที่ละลายเราจะเห็นชั้นของน้ำอย่างชัดเจน
แต่สำหรับที่ Luka แม้จะปล่อยทิ้งไว้คุณก็จะยังคงเห็นเท็กซ์เจอร์ที่ครีมมี่เหมือนเดิม
รสชาติของอาซาอิที่นี่จะหอมกลิ่นกล้วยและมะพร้าวเป็นหลัก กินกับกราโนลาโฮมเมดและผลไม้สดเพิ่มความสดชื่นได้ดี
ถ้าชอบช็อกโกแลต เมนูที่เราไม่อยากให้พลาดเลยคือ Chocolate Kinu Mousse (165 บาท) มูสสูตรวีแกนที่ทำจากเต้าหู้ ผสมกับดาร์กช็อกโกแลต 70% เฮเซลนัทพราลีน ท็อปด้วยลูกฟิกอบแห้งและทับทิม เนื้อมูสมีความเนียนนุ่มละมุน ได้ความขมจากช็อกโกแลตนิดๆ และไม่หวานจนเกินไป ยิ่งกินกับท็อปปิ้งด้านบนยิ่งฟิน
จบจากเมนูสำหรับ Day Time กันไปแล้ว ก็ขอลุยต่อกับเมนูดินเนอร์ที่ทางร้านภาคภูมิใจนำเสนอสุดๆ ซึ่งสไตล์อาหารสำหรับมื้อค่ำนี้ ทางร้านตั้งใจให้เป็น World Comfort Food ที่ได้แรงบันดาลใจจากอาหารเอเชียซะส่วนใหญ่ และแน่นอนว่ายังคงอร่อยเฮลตี้แบบมี Luka Twist
เริ่มกันที่ Charred Cabbage Laphet Thoke (230 บาท) ยำใบชาพม่า กินคู่กับกะหล่ำปลีย่างกับบราวน์บัตเตอร์ เสิร์ฟพร้อมซอส Miso Tahini เป็นจานสลัดที่ให้ความสดชื่น ในขณะเดียวกันก็เคี้ยวสนุก เพลินไปกับเท็กซ์เจอร์กรุบมันของถั่ว และที่สำคัญคืออบอวลไปด้วยความหอมของน้ำมันงา
อีกจานที่ทางร้านนำเสนอเป็นพิเศษคือ Spicy Beef Carpaccio (270 บาท) เนื้อสันในคลุกผงกาแฟและนำไปย่างให้ผิวด้านนอกสุก เสิร์ฟแบบสไลซ์ พร้อมชีสเปโกริโน ผักสลัด และซอสชิลลี่ครันช์ที่ช่วยชูรสชาติให้โดดเด่น
สายซีฟู้ดต้องไม่พลาดกับ Grilled Ocean Prawns (595 บาท) กุ้งแชบ๊วยหมักกับเครื่องเทศ นำไปย่าง เสิร์ฟพร้อมเนยเลมอนหอมๆ พอกินคู่กับแฟลตเบรดและใบชะครามแล้วได้ความอร่อยในอีกมิติไปเลย
มีเนื้อแล้วก็ต้องมีคาร์บ แนะนำให้ลอง Truffle Onigiri (180 บาท) ข้าวไทยหุงกับข้าวซูชิ ทาซอสทรัฟเฟิลหอมเตะจมูกย่างบนไฟอ่อนๆ โรยด้วยชีสเปโกริโนเช่นกัน หากลองกินคู่กับใบชะครามก็จะได้รสชาติความอร่อยไปอีกแบบ
มาในส่วนของค็อกเทลกันบ้าง ซึ่งค็อกเทลที่นี่ถือว่าน่าสนใจเลยทีเดียว ถ้าใครที่ชอบความแปลกใหม่แนะนำให้ลอง Bloody Somtam (290 บาท) ที่มีการนำมะเขือเทศมาอินฟิวส์กับมะขามเปียก และในดริงก์เองก็ยังมีพริกอีกด้วย หากยกแก้วดื่มก็จะได้รสชาติของพริกเกลือที่เคลือบอยู่ขอบแก้ว ได้รสชาติที่หวานเค็มเล็กๆ และเผ็ดปลาย ชวนให้นึกถึงรสชาติส้มตำไทย
หรือถ้าใครที่ชอบสไตล์เครื่องเทศ แนะนำเป็น Spicy Storm (290 บาท) จัดเต็มเครื่องเทศแบบพายุสมชื่อ ใครที่เป็นแฟนซินนามอนน่าจะถูกใจแก้วนี้ไม่น้อย
มาแบบค็อกเทลเบาๆ กันบ้างกับ Pink G&T (320 บาท) หอมสดชื่นไปกับจินโทนิกกลิ่นกุหลาบสีชมพูสวยหวาน เชื่อว่าแก้วนี้น่าจะเป็นแก้วโปรดของสาวๆ เลย
ส่วนใครที่เป็นสายกาแฟ แนะนำให้ลอง C&C G&T (320 บาท) จินโทนิกและคาห์ลัวที่ทางร้านทำเอง จิบแรกจะรู้สึกว่าเข้มแต่รสชาตินั้นไม่บาดคอเลยแม้แต่น้อย อาฟเตอร์เทสต์จะเป็นความหอมสดชื่นของผิวส้ม ถือเป็นแก้วที่เรายกให้เป็นเดอะเบสต์ในค่ำคืนนี้
ต่อให้อิ่มแค่ไหนเราก็มีพื้นที่ให้ของหวาน (รอบสอง) เสมอ ไม่ควรพลาดจริงๆ กับ Spiced S’more (180 บาท)
บิสกิตโฮมเมดประกบกับดาร์กช็อกโกแลต 70% และมาร์ชเมลโลย่างไฟจนผิวกรอบ โรยด้วยส้มซ่าและดอกเกลือทะเล ความขมของช็อกโกแลตช่วยตัดรสหวานของมาร์ชเมลโลได้เป็นอย่างดี และพอเจอกับรสชาติความมันนัว เค็มเล็กๆ ของบิสกิต และกลิ่นส้มแล้ว เป็นคอมบิเนชันที่ลงตัวสมบูรณ์แบบ
Good for…
Luka Bangkok เป็นร้านที่ทวิสต์เมนูอาหารที่เราคุ้นเคยออกมาได้อย่างน่าสนใจ และเป็นเวอร์ชันเฮลตี้ที่ยังอร่อย ดังนั้นใครที่โหยหา All Day Breakfast ก็แวะไปได้เลยทั้งสองสาขา แต่หากอยากดื่มด่ำกับมื้อค่ำแบบคอมฟอร์ตฟู้ดสไตล์เอเชียนพลางจิบดริงก์ชิลๆ ต้องแวะมาลองที่สาขาสุขุมวิท 31 แนะนำให้ชวนเพื่อนมาด้วย เพราะเชื่อเลยว่าพอเห็นเมนูแล้วคุณจะอยากลองไปซะทุกอย่างเลย
Luka Bangkok (Sukhumvit 31)
Open: 08.00-23.00 น.
Address: ซอยสุขุมวิท 31 ที่จอดรถหน้าร้านมีจำกัด สามารถจอดข้างถนนหรือตึก RSU
Tel: 08 2984 9991
Website: https://app.papaya.co.th/luka/luka/menu
Facebook: https://www.facebook.com/lukabangkok
Instagram: https://www.instagram.com/lukabangkok
Budget: อาหารเริ่มต้นที่ 110 บาท
Map: