BOI เดินหน้าส่งเสริมการลงทุนที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม สอดรับเมกะเทรนด์ของโลกที่มุ่งแก้ปัญหาภัยพิบัติจากธรรมชาติอย่างยั่งยืน ล่าสุดบอร์ดฯ อนุมัติมาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อแก้ปัญหา PM2.5 จูงใจผู้ประกอบการสนับสนุนกลุ่มเกษตรกรและองค์กรท้องถิ่นป้องกันปัญหา PM2.5 ทุกพื้นที่ทั่วประเทศ พร้อมไฟเขียว 2 โครงการ เงินลงทุนมูลค่ากว่า 18,000 ล้านบาท และขยายเวลามาตรการกระตุ้นการลงทุนเพื่อรองรับการย้ายฐานผลิตมาไทยต่อเนื่อง
นฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บอร์ด BOI) เมื่อวันอังคารที่ 26 ธันวาคม 2566 ที่มี ปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นประธาน ได้เห็นชอบมาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อลดปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 โดยขยายขอบข่ายการสนับสนุนตามมาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อพัฒนาชุมชนและสังคม ให้รวมถึงการสนับสนุนองค์กรท้องถิ่นและกลุ่มเกษตรกรในการยกระดับสิ่งแวดล้อมในชุมชน โดยการจัดการป่าในพื้นที่เป้าหมาย ครอบคลุมทั้งป่าชุมชน ป่าอนุรักษ์ และป่าสงวนแห่งชาติทั่วประเทศ เพื่อลดปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ระดับชาติ
“BOI ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการลงทุนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และลดปัญหามลภาวะ ทั้งที่เกิดจากภาคอุตสาหกรรม ภาคพลังงาน ภาคการขนส่ง รวมทั้งภาคการเกษตรและชุมชน ที่ผ่านมา BOI ได้ออกหลายมาตรการที่ช่วยในด้านนี้ เช่น การส่งเสริมการผลิตและใช้พลังงานทดแทน มาตรการยกระดับอุตสาหกรรมโดยใช้เครื่องจักรประหยัดพลังงานและเทคโนโลยีที่ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า สำหรับมาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อลดปัญหาฝุ่น PM2.5 ในครั้งนี้ BOI ได้หารือร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในการกำหนดมาตรการที่จะช่วยสนับสนุนและเพิ่มความสามารถขององค์กรท้องถิ่นและกลุ่มเกษตรกร ในการยกระดับการจัดการสิ่งแวดล้อมในชุมชนด้วยวิธีต่างๆ เพื่อลดปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 อย่างยั่งยืน” นฤตม์กล่าว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- ‘SCG Air Scrubber’ Climate Tech เพื่อทางออก Global Boiling ภายใต้ความร่วมมือของ SCG และ enVerid เทคโนโลยีบนเวที COP28
- ข้อเสนอจัดตั้งแนวร่วม ‘Thailand Net Zero Coalition’ ประสานพลังภาครัฐ-ธุรกิจ-การเงิน พลิกโฉมเศรษฐกิจไทย สร้างการเติบโตสีเขียว
สำหรับกิจกรรมที่สามารถขอรับสิทธิตามมาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อลดปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 เช่น การก่อสร้างแนวกันไฟป่าเปียก, การก่อสร้างฝายชะลอความชุ่มชื้น, การสนับสนุนเครื่องมือและอุปกรณ์ดับไฟป่า, การฝึกอบรมด้านการป้องกันและควบคุมไฟป่า โดยผู้ประกอบการที่เข้าร่วมสนับสนุนการจัดการป่าและการลดปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 ตามเกณฑ์ที่กำหนด และได้รับความเห็นชอบจากกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลจากรายได้ของกิจการที่ดำเนินการอยู่เป็นเวลา 3 ปี ในสัดส่วนไม่เกินร้อยละ 200 ของเงินลงทุนที่จ่ายจริงในการสนับสนุนองค์กรท้องถิ่นและกลุ่มเกษตรกร
ต่ออายุ 3 มาตรการ
นฤตม์กล่าวว่า ท่ามกลางกระแสการโยกย้ายฐานการผลิต และการลงทุนที่ยังมีอย่างต่อเนื่อง ประเทศไทยจำเป็นต้องใช้โอกาสนี้ในการดึงดูดและกระตุ้นให้เกิดการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ในอุตสาหกรรมเป้าหมายโดยเร็ว ที่ประชุมจึงเห็นชอบให้ขยายเวลามาตรการส่งเสริมการลงทุน 3 มาตรการ ที่เดิมจะสิ้นสุดในเดือนธันวาคม 2566 ออกไปอีก 1 ปี ได้แก่
- มาตรการกระตุ้นการลงทุนเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ
- มาตรการรักษาและขยายฐานการผลิตเดิม (Retention and Expansion Program) และมาตรการส่งเสริมการย้ายฐานธุรกิจแบบครบวงจร (Relocation Program)
โดยสามารถยื่นคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนได้ภายในวันทำการสุดท้ายของปี 2567
อนุมัติ 2 โครงการ มูลค่ากว่า 18,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้อนุมัติส่งเสริมการลงทุนรวม 2 โครงการ มูลค่ารวม 18,675 ล้านบาท ได้แก่
- โครงการผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพ (Biofuel) จากน้ำมันพืชใช้แล้วของบริษัท บีเอสจีเอฟ จำกัด ในกลุ่มบางจาก มูลค่าลงทุน 10,000 ล้านบาท โดยนำเศษวัสดุและของเสียจากผลผลิตทางการเกษตร และน้ำมันพืชใช้แล้ว มาเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตเป็นเชื้อเพลิงชีวภาพ เช่น น้ำมันอากาศยานยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuel: SAF), น้ำมันดีเซลยั่งยืน (Green Diesel) และก๊าซหุงต้มยั่งยืน (Green LPG)
- โครงการศูนย์กระจายสินค้าด้วยระบบอัจฉริยะของบริษัท โอเมก้า โลจิสติกส์ แคมปัส จำกัด ซึ่งเป็นการร่วมทุนระหว่างกลุ่มพฤกษา โฮลดิ้ง และบริษัทชั้นนำด้านอสังหาริมทรัพย์และโลจิสติกส์จากสิงคโปร์และไต้หวัน มูลค่าลงทุน 8,675 ล้านบาท โดยจะใช้ระบบบริหารคลังสินค้าและเทคโนโลยีดิจิทัลขั้นสูงในการกระจายสินค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น อิเล็กทรอนิกส์, เวชภัณฑ์, อุปกรณ์การแพทย์ และสินค้าอุปโภคบริโภค