วันนี้ (13 ธันวาคม) เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พร้อมคณะ เดินเท้าจากโรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล กรุงเทพฯ บริเวณแยกราชประสงค์ ลงพื้นที่ตรวจสถานการณ์ฝุ่นละออง PM2.5 เกินค่ามาตรฐานในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล
เศรษฐากล่าวว่า ได้มีการกำชับไปว่าในหลายพื้นที่ เช่น พื้นที่ทางธุรกิจ พื้นที่ก่อสร้าง หรือตึกไหนสามารถฉีดน้ำเพื่อลดฝุ่นได้ก็ขอให้ดำเนินการ ส่วนการเผาอ้อยที่เกษตรกรนิยมเผาในช่วงนี้ได้สั่งควบคุมดูแล กำชับ และขอร้อง เชื่อว่าทุกคนให้ความสำคัญในเรื่องนี้ สถานการณ์ PM2.5 จะเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น
ส่วนปัญหาควันดำจากรถยนต์ ทุกหน่วยที่เกี่ยวข้องก็ต้องดูแลและจัดการ รวมถึงมีการตรวจสอบสภาพควันดำ ทั้งนี้ตนมองว่าไม่ได้เกิดจากสถานการณ์ควันดำเพียงอย่างเดียว การที่เราจะเปลี่ยนถ่ายไปสู่รถยนต์ EV เป็นสิ่งสำคัญ พร้อมย้ำว่ารถที่ไม่มีควันดำก็ไม่ได้หมายความว่าไม่ปล่อยมลพิษ
“ไม่อยากให้ใช้คำว่าเป็นฤดูกาล เพราะใช้คำว่าเป็นฤดูกาลแสดงว่าเรายอมรับปัญหา แต่เป็นช่วงที่ต้องดูแลอย่างใกล้ชิด และอย่ายอมรับปัญหามัน ซึ่งเรื่องนี้เราต้องช่วยกันทุกคน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมก็ดูแลอย่างเต็มที่และมีความเป็นห่วงเป็นใย เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ต้องเอาใจใส่ เพราะเป็นเรื่องสุขภาพของประชาชน รัฐบาลจะทำอย่างเต็มที่” เศรษฐากล่าว
เศรษฐากล่าวว่า ตนทราบดีและเป็นห่วง ปัญหานี้ก็เกิดขึ้นทุกปี เราไม่ได้นิ่งนอนใจ จึงได้เรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาสั่งการว่าจะทำอย่างไรต่อไป ซึ่งก่อนหน้านี้รัฐบาลได้คิกออฟรณรงค์หยุดเผาป่า ซึ่งในส่วนของภาคกลางเองก็มีการเผาซากพืชผลเช่นเดียวกัน จึงต้องให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าไปดูแล และมีกองทัพเข้ามาช่วยเหลือเฝ้าระวังในหลายพื้นที่
ประสาน สปป.ลาว-เมียนมา แก้ปัญหาฝุ่น
เศรษฐากล่าวอีกว่า ปัญหานี้เกิดขึ้นจากทุกภาคส่วน ทุกคนต้องช่วยกันรับผิดชอบให้ปัญหาเหล่านี้ลดน้อยลง ส่วนการประสานกับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อหาแนวทางการแก้ไขปัญหานั้น เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่ ในส่วนของ สปป.ลาว ก็มีการพูดคุยอย่างดี เพราะเอกชนฝ่ายไทยก็มีการลงทุนปลูกพืชผลทางการเกษตรใน สปป.ลาว เพื่อนำกลับมาขายในไทย จึงได้พูดคุยกับเอกชนว่าจะต้องถูกเก็บภาษี เพื่อนำเงินจำนวนนี้มาแก้ไขปัญหาที่เกิดจากการเผา ขณะที่ประเทศเมียนมา ฝ่ายทหารของไทยได้เข้าไปพูดคุยเจรจา เนื่องจากพื้นที่ที่มีการเผาป่าเป็นพื้นที่ที่มีปัญหาภายในของประเทศ
กทม. หนุนเปลี่ยนน้ำมันเครื่องรถยนต์เก่ากว่า 1 ล้านคัน
ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า กทม. พยายามทำงานแบบบูรณาการกับหน่วยอื่นๆ โดยกำลังจะร่วมกับกระทรวงพลังงานทำโครงการเกี่ยวกับเรื่องการเปลี่ยนน้ำมันเครื่องไส้กรอง โดยให้ส่วนลดเป็นแรงจูงใจสำหรับรถยนต์เก่าที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซลอายุ 7 ปีขึ้นไป เพราะควันรถเป็นส่วนหนึ่งที่ปล่อย PM2.5 เนื่องจากการเผาไหม้ไม่หมด ซึ่งรถประเภทนี้มีกว่า 1 ล้านคันที่วิ่งอยู่บนถนนใน กทม.
ส่วนรถเมล์ ขสมก. นั้น ชัชชาติระบุว่า ได้ประสานรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมให้เข้าไปตรวจควันดำถึงอู่รถเมล์ แม้ค่าจะไม่เกินแต่ก็ใช่ว่าจะไม่ปล่อย PM2.5 นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่นร่วมด้วย เช่น การเผาชีวมวล การควบคุมรถที่เข้าไซต์ก่อสร้าง การตรวจสอบโรงงาน ซึ่งยังคงต้องทำอย่างเข้มข้น ถึงแม้ใน กทม. จะมีโรงงานไม่มาก รวมทั้งฝุ่นที่ค้างอยู่ในอากาศซึ่งมาจากรถที่ปล่อยออกมา ทำให้ในบางวันที่เป็นวันหยุดหรือไม่มีการจราจรคับคั่ง ก็ทำให้ค่าฝุ่น PM2.5 สูงขึ้นได้
ตรวจร้านปิ้งย่าง ควบคุมปล่อยควันฝุ่นพิษ
ผู้ว่าฯ กทม. กล่าวด้วยว่า อีกเรื่องที่ดูเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่เป็นเรื่องใหญ่ คือร้านปิ้งย่าง อาจไม่ได้มีผลในภาพรวม แต่มีผลเฉพาะพื้นที่ ซึ่งส่งผลให้มีค่าฝุ่น PM2.5 เพิ่มหนาแน่นขึ้น ก็ต้องไปดูว่าต้องควบคุมอย่างไร ต้องมีที่ดักควันอะไรหรือไม่ ไม่ได้ห้ามปิ้งย่าง แต่ต้องมีตัวดูดหรือเก็บควันก่อนปล่อยออกมา ไม่ใช่ปล่อยอิสระ เพราะหากช่วงที่อากาศปิดก็จะทำให้ฝุ่นเพิ่มสูงขึ้น
กทม. พร้อมป้องกันปัญหาสุขภาพผ่าน 8 คลินิกมลพิษทางอากาศ
ด้าน รศ.ดร.ทวิดา กมลเวชช รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า หากประชาชนได้รับปัญหาสุขภาพจากฝุ่นนั้น สามารถเข้ารับคำปรึกษาได้ที่คลินิกมลพิษทางอากาศ โดยปัจจุบันมีการให้บริการทั้งสิ้น 8 แห่ง ดังนี้
- โรงพยาบาลกลาง เปิดให้บริการทุกวันอังคารและวันศุกร์ ตั้งแต่เวลา 08.00-12.00 น. โทร. 0 2220 8000 ต่อ 10811
- โรงพยาบาลตากสิน เปิดให้บริการทุกวันจันทร์-อังคาร และวันพฤหัสบดี-อาทิตย์ (ยกเว้นวันหยุดราชการ) ตั้งแต่เวลา 09.00-12.00 น. โทร. 0 2437 0123 ต่อ 1426, 1430
- โรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์ เปิดให้บริการทุกวันพุธ ตั้งแต่เวลา 13.00-15.00 น. โทร. 0 2289 7225
- โรงพยาบาลหลวงพ่อทวีศักดิ์ ชุตินฺธโร อุทิศ เปิดให้บริการทุกวันพฤหัสบดี ตั้งแต่เวลา 08.00-12.00 น. โทร. 0 2429 3576 ต่อ 8522
- โรงพยาบาลเวชการุณย์รัศมิ์ เปิดให้บริการทุกวันอังคาร ตั้งแต่เวลา 13.00-16.00 น. โทร. 0 2543 2090 หรือ 08 4215 3278
- โรงพยาบาลลาดกระบังกรุงเทพมหานคร เปิดให้บริการทุกวันจันทร์-ศุกร์ ตั้งแต่เวลา 08.00-16.00 น. โทร. 0 2326 9995
- โรงพยาบาลราชพิพัฒน์ เปิดให้บริการทุกวันจันทร์-ศุกร์ ตั้งแต่เวลา 08.00-16.00 น. โทร. 06 3324 1126 หรือ 09 9170 5879
- โรงพยาบาลสิรินธร เปิดให้บริการทุกวันอังคาร ตั้งแต่เวลา 13.00-16.00 น. โทร. 0 2328 6901 ต่อ 11434
รศ.ดร.ทวิดา กล่าวอีกว่า ทั้งนี้หากมีอาการไอ แน่นหน้าอก วิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ผื่นแดง หรือมีอาการผิดปกติทางร่างกายอื่นๆ ควรรีบไปพบแพทย์ทันที หรือพบแพทย์ผ่านทาง Telemedicine แอปพลิเคชัน ‘หมอ กทม.’ เพื่อตรวจวินิจฉัยอาการได้อย่างรวดเร็ว สามารถปรึกษาเรื่องสุขภาพ โทร. 1646 สายด่วนสุขภาพ สำนักการแพทย์ ให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง
รัฐบาลแนะหลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้ง
เกณิกา อุ่นจิตร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลมีความเป็นห่วงประชาชนกลุ่มเสี่ยง ทั้งเด็ก ผู้สูงอายุ และหญิงตั้งครรภ์ จึงขอให้เฝ้าระวังเป็นพิเศษ รวมถึงกลุ่มที่มีโรคประจำตัว ได้แก่ โรคหัวใจ โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง และโรคหอบหืด ซึ่งผู้ป่วยโรคหอบหืดจะมีความไวต่อการกระตุ้นจากฝุ่น PM2.5 หรือสารก่อภูมิแพ้เหล่านี้ ทำให้มีสมรรถภาพปอดลดลง และเกิดอาการกำเริบได้ ซึ่งกลุ่มเสี่ยงดังกล่าวควรสวมหน้ากากเพื่อป้องกันฝุ่น และหลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้ง
เกณิกากล่าวต่อว่า เหตุที่ทำให้ค่าฝุ่น PM2.5 สูงขึ้นมากในขณะนี้เกิดจากความกดอากาศต่ำและสภาพอากาศนิ่ง ส่งผลให้ฝุ่นจากแหล่งกำเนิดไม่สามารถระบายได้ จนถูกกดทับอยู่ในแต่ละพื้นที่ โดยเฉพาะวันที่ 14-15 ธันวาคม จะมีค่าฝุ่นหนาแน่นเป็นพิเศษ แต่จากการคาดการณ์ของกรมควบคุมมลพิษ สถานการณ์จะเริ่มดีขึ้นช่วงวันที่ 17 ธันวาคมนี้ เนื่องจากจะมีลมพัดแรงขึ้น ช่วยให้อากาศระบายฝุ่นที่สะสมและพัดออกจากพื้นที่
เร่งดันกฎหมายแก้ปัญหาฝุ่น
เกณิกากล่างถึงร่าง พ.ร.บ.การบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ. …. ว่า คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้ส่งร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว โดยเนื้อหาสาระที่สำคัญก็คือการแก้ปัญหาเชิงรุก ครอบคลุมทุกมิติ เป็นกฎหมายใหม่ที่มีความเฉพาะ ทำให้สามารถบริหารจัดการอากาศสะอาดได้อย่างแท้จริง ป้องกันปัญหาด้านอากาศที่จะเกิดขึ้น และแก้ไขปัญหามลภาวะทางอากาศที่มีอยู่ให้ลดลงและหมดไป เพราะอากาศสะอาดเป็นสิทธิพึงมีที่คนไทยทุกคนต้องได้สูดอากาศที่บริสุทธิ์ตามสิทธิขั้นพื้นฐาน เพื่อสุขภาพที่ดีของทุกคน