×

ศาลพิพากษาจำคุก 105 ปี อดีต ผอ.กองการศึกษาฯ อบจ.ยโสธร ใช้รถหลวงไปตีกอล์ฟ

โดย THE STANDARD TEAM
12.10.2023
  • LOADING...
อดีต ผอ.กองการศึกษาฯ อบจ.ยโสธร ใช้รถหลวงไปตีกอล์ฟ

วันนี้ (12 ตุลาคม) สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ประจำจังหวัดยโสธร แถลงข่าวความคืบหน้าผลคดีกล่าวหา รุ่งรัก ลูกบัว เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการกองการศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ยโสธร กับพวก นำรถยนต์ทางราชการไปใช้ประโยชน์ส่วนตนในการเดินทางไป-กลับระหว่างบ้านและที่ทำงาน และนำรถยนต์ของทางราชการไปตีกอล์ฟ 

 

สำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดยโสธรเปิดเผยความคืบหน้ากรณี รุ่งรัก และ พงษ์ศิริ เหมือนชาติ รองนายก อบจ.ยโสธร กรณีนำรถยนต์ของทางราชการไปใช้ประโยชน์ส่วนตนในการเดินทางไป-กลับระหว่างบ้านและที่ทำงาน และนำรถยนต์ของทางราชการไปตีกอล์ฟ โดยอัยการสูงสุด (อสส.) โดยพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีปราบปรามการทุจริต 1 ภาค 3 ได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้องรุ่งรักกับพวกเป็นจำเลย ต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 3 กรณีดังกล่าว

 

ล่าสุดศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 3 ได้อ่านคำพิพากษาเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2566 โดยคำพิพากษาสรุปได้ว่า ขณะเกิดเหตุ รุ่งรัก จำเลยที่ 1 ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการกองการศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม (ระดับ 8), สถิรพร นาคสุข จำเลยที่ 2 ดำรงตำแหน่งนายก อบจ.ยโสธร และพงษ์ศิริ จำเลยที่ 3 ดำรงตำแหน่งรองนายก อบจ.ยโสธร รักษาราชการและปฏิบัติหน้าที่ราชการแทนนายก อบจ.ยโสธร พฤติการณ์ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2557 – มิถุนายน 2558 จำเลยที่ 1 ได้จัดทำใบขออนุญาตใช้รถยนต์ส่วนกลางเสนอต่อจำเลยที่ 2 และเดือนกรกฎาคม 2558 – มีนาคม 2559 ได้จัดทำใบขออนุญาตใช้รถยนต์ส่วนกลางเสนอต่อจำเลยที่ 3 เพื่อขออนุญาตนำรถยนต์ หมายเลขทะเบียน กค 7127 ยโสธร ไปจอดเก็บรักษาไว้ที่บ้านพักของตน และได้ขับขี่รถยนต์คันดังกล่าวเพื่อเป็นพาหนะในการเดินทางไป-กลับระหว่างบ้านพักและ อบจ.ยโสธร โดยไม่เคยนำรถยนต์มาจอดเก็บรักษาไว้ที่ อบจ.ยโสธรแต่อย่างใด นอกจากนี้ยังได้ใช้รถยนต์คันดังกล่าวไปตีกอล์ฟที่สนามกอล์ฟ กรมทหารราบที่ 16 ค่ายบดินทรเดชา

 

พฤติกรรมของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการเอารถยนต์ของ อบจ.ยโสธร ไปใช้เป็นประโยชน์ส่วนตนโดยมิชอบเป็นเวลาเกือบ 2 ปี เป็นการกระทำที่ร้ายแรง สำหรับจำเลยที่ 2 และ 3 ซึ่งเป็นผู้อนุมัติให้จำเลยที่ 1 นำรถยนต์ของทางราชการไปใช้ แต่ไม่ได้รู้เห็นการที่จำเลยที่ 1 นำรถยนต์ไปใช้ส่วนตัวแต่อย่างใด จึงไม่ถือเป็นการปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต แต่การไม่ดูแลตามหน้าที่ถือเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ก่อให้เกิดผลเสียหายแก่การบริหารราชการแผ่นดินอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และจำเลยทั้ง 3 ให้การรับสารภาพ

 

ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 3 ได้มีคำพิพากษาว่า

 

  1. จำเลยที่ 1 รุ่งรัก มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 (เดิม) และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 123 /1 รวม 21 กระทง โดยให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 (เดิม) ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด จำคุกกระทงละ 5 ปี รวมจำคุก 105 ปี จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 52 ปี 6 เดือน แต่เมื่อรวมทุกกระทงแล้ว จำคุกจำเลยที่ 1 ไม่เกิน 50 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (3)
  1. จำเลยที่ 2 สถิรพร และจำเลยที่ 3 พงษ์ศิริ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 (เดิม) และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2554 มาตรา 123 /1 ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2554 มาตรา 123 /1 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด จำเลยที่ 2 รวม 12 กระทง จำคุก 12 ปี และปรับ 240,000 บาท และจำเลยที่ 3 รวม 16 กระทง จำคุก 16 ปี และปรับ 320,000 บาท

 

จำเลยที่ 2 และ 3 ให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดให้กึ่งหนึ่ง ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 และ 3 เคยต้องโทษจำคุกมาก่อน และไม่เคยใช้รถยนต์คันดังกล่าว เห็นควรรอลงอาญาคนละ 2 ปี และให้ไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติคนละ 4 เดือนต่อครั้ง ตลอดระยะเวลาที่คุมประพฤติ และให้ทำงานบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์เป็นเวลาคนละ 36 ชั่วโมง พร้อมชำระค่าปรับ

 

ขณะที่ อดุลย์ วันดี ผู้อำนวยการสำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดยโสธร กล่าวว่า เรื่องนี้ถือเป็นกรณีศึกษา บทเรียนสำคัญสำหรับผู้บริหารท้องถิ่น ข้าราชการประจำ ส่วนราชการ และรัฐวิสาหกิจในพื้นที่จังหวัดยโสธร ที่จะต้องสอดส่องดูแลการใช้รถยนต์ราชการของผู้ใต้บังคับบัญชาให้เป็นไปตามระเบียบและกฎหมาย และใช้ในราชการเท่านั้น การนำไปใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตนถือว่าเป็นการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชน์ทับซ้อน ก็อาจต้องถูกดำเนินคดีอย่างเช่นคดีนี้ ซึ่งผู้บังคับบัญชาต้องร่วมรับผิดชอบด้วย จึงขอแจ้งเตือนมาด้วยความห่วงใย มิให้เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นอีก และเป็นการเสริมสร้างความโปร่งใสในการปฏิบัติงาน โดยไม่นำเรื่องส่วนตัวมาเกี่ยวข้อง ทั้งนี้คดียังไม่ถึงที่สุด จำเลยมีสิทธิต่อสู้คดีเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ในชั้นศาลที่สูงกว่านี้ได้อีก

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising
X