หลังจาก ChatGPT กลายเป็นกระแสโด่งดังไปทั่วโลกเมื่อปลายปีที่แล้ว มาถึงปัจจุบัน Artificial Intelligence หรือ AI ก็กลายเป็นธีมการลงทุนที่โดดเด่นที่สุดของปีนี้อย่างไร้คู่แข่ง
นักลงทุนหลายท่านตั้งคำถามว่า หุ้นธีม AI ที่ปรับตัวขึ้นนี้เป็นแค่ฟองสบู่ทางการเงินหรือแนวโน้มเศรษฐกิจครั้งใหม่กันแน่ และถ้าอยากลงทุนกับธีมนี้ควรวิเคราะห์อย่างไร
ผมจึงหาข้อมูลทั้งฝั่งเศรษฐกิจและวิเคราะห์การลงทุนปัจจุบัน พบว่า AI มีโอกาสสร้างการเปลี่ยนแปลงได้ในระดับเดียวกับไฟฟ้าช่วงทศวรรษ 1920 หรือ PC ในทศวรรษ 1990 ทีเดียว
เหตุผลสำคัญคือ AI ในตอนนี้กำลังจะเพิ่มประสิทธิภาพและเปลี่ยนแปลงกิจกรรมทางเศรษฐกิจหลากหลายด้าน
ที่จริงแล้ว AI ไม่ใช่เรื่องใหม่ มีงานวิจัยทั่วโลกมากมายที่สรุปว่า การใช้เทคโนโลยีจะสามารถทำให้เกิดประสิทธิภาพในกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้เฉลี่ย 3.0% ต่อปีในทศวรรษนี้ (เช่น Alederucci et al. (2022), Acemoglu et al. (2022) และ Bessen and Righi (2019))
ยิ่งไปกว่านั้นงานวิจัยก็ชี้ไปในทิศทางเดียวกันว่า การผสมเทคโนโลยีในชีวิตประจำวันจะก่อให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจรูปแบบใหม่ เห็นได้จากจำนวนงานใหม่ทั้งหมดในสหรัฐฯ ตั้งแต่ปี 1940 มีสัดส่วนกว่าครึ่งเป็นงานที่ไม่เคยมีมาก่อน (Autor et al. (2022))
แค่สองมุมนี้ก็เห็นได้ชัดแล้วว่า การที่เทคโนโลยีได้รับการนำไปใช้อย่างแพร่หลาย มีโอกาสสูงที่จะทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจขยายตัวมากขึ้นไปอีก ยิ่งเป็น AI ที่เกิดมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพอยู่แล้ว เมื่อเทคโนโลยีพร้อม ตลาดจึงปรับตัวขึ้นรับกับความหวังครั้งใหม่นี้ทันที
อย่างไรก็ดี เมื่อมองในมุมของนักลงทุน คำถามที่สำคัญไม่แพ้การเติบโตคือ มูลค่า หรือ Valuation ไม่เคยถูก
ในอดีตการปฏิวัติเทคโนโลยีด้าน Efficiency ที่ใกล้เคียงที่สุดมี 2 ช่วง คือ การใช้ไฟฟ้าช่วงปี 1920 จำนวนครัวเรือนที่มีไฟฟ้าใช้เพิ่มขึ้นจาก 40% เป็น 80% กับอีกครั้งคือการปฏิวัติเทคโนโลยี PC ที่จำนวนผู้ใช้ทั่วโลกพุ่งขึ้นจาก 25% เป็น 75% ช่วงทศวรรษ 1990 ทั้งสองครั้ง Labor Productivity ในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นปีละ 3-5% ตลอดทศวรรษ
ประสิทธิภาพที่สูงขึ้นนี้ส่งผลให้ระดับมูลค่าของหุ้นพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วและเกิดเป็นภาวะฟองสบู่
Long-Term P/E ของ S&P 500 ปรับตัวขึ้นจากราว 5-10 เท่า ไปเป็น 35 เท่าในช่วงปี 1919-1920 ขณะที่ช่วงปี 1996-2005 ดัชนี S&P 500 ขึ้นไปซื้อ-ขายกันสูงสุดราว 45 เท่า จาก 15-20 เท่าก่อนหน้า
เทียบกับปัจจุบันที่ S&P 500 ระดับ 30 เท่าจึงไม่ถูก แค่ไม่ได้อยู่ในระดับที่แพงจนฟองสบู่ต้องแตก ส่วน AI Penetration แม้จะรวดเร็วมาก แต่ยังอยู่ในช่วงตั้งต้น ต้องให้เวลาอีกหลายปีกว่าที่ 70% ของธุรกิจทั่วโลกจะประยุกต์ใช้ AI แค่ต้องลุ้นว่าตลาดจะสามารถรักษาระดับ Valuation ที่สูงขนาดนี้ไว้ได้นานพอไหม
สำหรับนักลงทุนควรลงทุน AI แบบไหน สำหรับผมจะอยู่ที่เป้าหมายของแต่ละพอร์ตลงทุนเป็นหลัก
ในมุมของ Thematic Investor การลงทุน AI เป็น Secular Growth Theme อย่างไม่ต้องสงสัย กำไรของบริษัท AI มีโอกาสปรับตัวขึ้นจากการเพิ่มประสิทธิภาพด้วยผลิตภัณฑ์ใหม่ (Innovator) หรือวางตัวเป็น Enabler สร้างโครงสร้างด้าน AI ให้กับธุรกิจอื่นในเศรษฐกิจ หรือเป็น Disruptor แย่งส่วนแบ่งตลาดจากธุรกิจเดิมที่ Efficiency ต่ำ ในปัจจุบันการลงทุนจะกระจายตัวใน 3 ทวีปหลัก
กลุ่มแรก เจ้าของเทคโนโลยี AI ในฝั่งอเมริกา
ส่วนใหญ่เป็นบริษัทในกลุ่ม AI Big Data และ Next Generation Internet จุดแข็งของ AI สหรัฐฯ คือการเป็นเจ้าของเทคโนโลยี เป็นคนกำหนดทิศทางตลาด ดังนั้นจะเป็นได้ทั้ง Enabler และ Innovator ทำให้มีโอกาสขยายมูลค่าได้มากที่สุด
แต่จุดอ่อนคือ กำไรมักอยู่ในระดับต่ำ ต้องลงทุนมหาศาลต่อเนื่อง และปัจจุบันระดับ Valuation ค่อนข้างแพง ถ้าอยากลงทุนในกลุ่มนี้จึงต้องเน้นจับจังหวะ และระวังฟองสบู่แตกให้ดี
กลุ่มต่อมาคือ อุตสาหกรรมผสานเทคโนโลยีฝั่งยุโรป
บริษัทส่วนใหญ่จะเน้นไปที่ Autonomous Technology เพิ่มประสิทธิภาพของสายพานการผลิตอุตสาหกรรมเดิมด้วย AI จุดเด่นสำคัญคือรายได้ เนื่องจากมักเริ่มต้นกับอุตสาหกรรมดั้งเดิมที่มีกำไรอยู่แล้ว Valuation จึงไม่แพงเมื่อเทียบกับ AI ฝั่งสหรัฐฯ
แต่จุดอ่อนหลักชัดเจนว่าการพัฒนาเทคโนโลยีมักจำกัดเฉพาะบางอุตสาหกรรม ทำให้ไม่มีโอกาสที่จะเป็น Enabler ให้กับธุรกิจอื่นได้ ดังนั้นถ้าจะลงทุนในกลุ่มนี้ต้องเน้นไปที่ผู้ประกอบการที่มีแบรนด์แข็งแกร่ง สร้างรายได้ทั่วโลกด้วยการใช้ AI เป็นส่วนเสริมในสายพานการผลิต
กลุ่มสุดท้าย AI ในเอเชีย ต้องใช้จุดเด่นเรื่องลูกค้าเป็นสำคัญ
แม้จะไม่มีปัญหาเรื่องเงินลงทุน แต่ผู้ประกอบการด้าน Tech ในเอเชียมักมีปัญหาเรื่องกฎเกณฑ์การเข้าถึงข้อมูลและภาษาที่แตกต่างกัน มักไม่สามารถพัฒนาไปเป็น Innovator หรือสร้างมาตรฐานระดับโลกได้เหมือนในสหรัฐฯ
อย่างไรก็ดี ปัญหาดังกล่าวทำให้ AI ในเอเชียจะไม่แพงในเชิงเปรียบเทียบ สามารถลงทุนได้ในระยะยาว นักลงทุนเพียงต้องเน้นไปที่ Tech ใหญ่ที่เป็น Enabler ให้กับบริษัทเล็ก เพื่อให้เข้าถึงลูกค้าได้มากที่สุด หรือ Disruptor ที่สามารถเอาชนะเจ้าตลาดเดิมได้ด้วย Efficiency ที่สูงกว่า
โดยสรุปผมมองว่า AI จะเป็นเทคโนโลยีเปลี่ยนโลกแน่นอน แต่จะเปลี่ยนพอร์ตลงทุนของเราหรือไม่ อยู่ที่เราเลือกลงทุน AI แบบไหนครับ