ตลาดหุ้นไทยปิดสัปดาห์ที่ผ่านมา (9 มิถุนายน) กลายเป็นตลาดหุ้นหลักที่อ่อนแอที่สุดในโลก อิงจากการจัดอันดับของ Investing.com โดยดัชนี SET ติดลบ 6.8% จากปีก่อน มากกว่าดัชนีที่อ่อนแอที่สุดเป็นอันดับ 2 อย่าง China A50 ที่ติดลบ 3.1% ขณะที่ตลาดหุ้นอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น อินโดนีเซีย ดัชนี IDX Composite ติดลบ 2.3% ฟิลิปปินส์ ดัชนี PSEi Composite ติดลบ 0.9% ส่วนเวียดนาม ดัชนี VN30 เพิ่มขึ้น 9.5%
ข้อมูลจาก SETSMART ระบุว่า นักลงทุนต่างประเทศเป็นกลุ่มที่เทขายหุ้นไทยมากที่สุดในปีนี้ รวมมูลค่าขายสุทธิ 1 แสนล้านบาท ขณะที่นักลงทุนรายย่อยและสถาบันเป็นฝ่ายซื้อสุทธิ 6.68 หมื่นล้านบาท และ 3.91 หมื่นล้านบาท ตามลำดับ ส่วนบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ขายสุทธิ 5.55 พันล้านบาท
สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมหลักของไทยที่ปรับตัวลดลงหนักในปีนี้คือกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม ติดลบ 18.4% กลุ่มพลังงาน ติดลบ 14.5% ส่วนกลุ่มเทคโนโลยีเป็นเพียงกลุ่มเดียวที่ปรับตัวขึ้นได้ จากแรงหนุนของหุ้น บมจ.เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) หรือ DELTA
ขณะที่ดัชนี mai นับแต่ต้นปีที่ผ่านมา ปรับตัวลดลงไปถึง 14.18% โดยมีเพียงหุ้นกลุ่มสินค้าเกษตรที่ยังคงปรับตัวขึ้นได้ 1.35% ส่วนหุ้นในอีก 7 กลุ่มที่เหลือติดลบ 6-25%
อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นไทยในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เริ่มฟื้นตัวกลับมาได้เล็กน้อย เพิ่มขึ้น 2.2% มาปิดที่ 1,555 จุด โดย บล.กรุงศรี พัฒนสิน ประเมินว่า หุ้นไทยช่วงปลายสัปดาห์ที่ปรับขึ้นแรงและยืนเหนือ 1,550 จุด หนุนโดยหุ้นกลุ่มพลังงานตามราคาน้ำมันดิบโลก
นอกจากนี้ ยังได้แรงหนุนจากความชัดเจนของการเมืองภายใน ซึ่งมีพัฒนาการเชิงบวก คือเรื่องนับคะแนนเลือกตั้งใหม่ 47 เขต ทำให้ประเมินว่า กกต. ใกล้จะรับรองผลการเลือกตั้งได้เร็วกว่าคาด โดยคาดจะประกาศผลได้ไม่เกินสิ้นเดือนมิถุนายนนี้ นอกจากนี้ หุ้นกลุ่มอิงการบริโภคได้แรงหนุนจากดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนพฤษภาคมสูงสุดในรอบ 39 เดือน
ด้านศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามสำหรับหุ้นไทยในระยะถัดไปคือผลการประชุม Fed ระหว่างวันที่ 13-14 มิถุนายน รวมทั้งทิศทางเงินทุนต่างชาติและสถานการณ์การเมืองในประเทศ