ราคาเมล็ดกาแฟโรบัสต้าพุ่งแตะจุดสูงสุดนับตั้งแต่ช่วงปี 2008 ที่ระดับราคา 2,790 ดอลลาร์ต่อตัน จากข้อมูลตลาดฟิวเจอร์สของลอนดอน (London Futures) ซึ่งถือเป็นราคาที่สูงที่สุดตั้งแต่เริ่มมีสัญญาซื้อขายประเภทนี้เมื่อ 15 ปีที่แล้ว
การดีดตัวขึ้นของราคาครั้งนี้ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างกับผู้บริโภคกาแฟทั่วโลก อันมีสาเหตุมาจากสภาพอากาศแบบเอลนีโญ ที่ทางศูนย์พยากรณ์ภูมิอากาศของสหรัฐฯ ออกมายืนยันว่าเอลนีโญได้กลับมาแล้ว ทีมพยากรณ์อากาศยังคาดการณ์เพิ่มเติมว่าอย่างน้อยที่สุดผลกระทบจะอยู่ในระดับปานกลาง แต่ความน่าจะเป็นที่จะเกิดแบบขั้นรุนแรงก็มีความเป็นไปได้เช่นเดียวกัน
ตั้งแต่ต้นปี ราคาได้ปรับขึ้นไปมากกว่า 50% แล้ว เนื่องจากปริมาณเมล็ดกาแฟชนิดนี้ที่ถูกใช้เป็นวัตถุดิบในการทำกาแฟสำเร็จรูปและเอสเพรสโซ ไม่สามารถผลิตออกมาได้เพียงพอกับความต้องการบริโภค บวกกับปัจจัยเรื่องปัญหาค่าครองชีพทำให้คนหันมาบริโภคเมล็ดกาแฟโรบัสต้ามากขึ้น ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ดันราคาให้ยิ่งสูงขึ้นไปอีก
ในขณะที่กลุ่มผู้ผลิตสินค้ากาแฟมีการใช้เมล็ดโรบัสต้าเป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์กาแฟเพิ่มขึ้น แต่เกษตรกรนั้นไม่อาจเพิ่มผลผลิตให้ทันความต้องการได้ นอกจากนี้ต้นทุนปุ๋ยที่แพงและสภาพอากาศแห้งแล้งยังมีส่วนทำให้ผลผลิตลดลงด้วย ทั้งหมดนี้น่าจะทำให้ตลาดกาแฟของโลกอยู่ในสภาวะขาดดุลเป็นฤดูกาลที่ 3 ติดต่อกันในปี 2023-2024
เจ้าตลาดการเพาะปลูกเมล็ดกาแฟโรบัสต้าของโลกอย่างเวียดนามมีแนวโน้มที่จะเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ต่ำสุดในรอบ 4 ปี ตามมาด้วยบราซิลที่น่าจะเห็นผลผลิตหดตัวลงประมาณ 5% และอินโดนีเซียที่จะกระทบหนักหน่อยเพราะสภาพอากาศที่ย่ำแย่ โดยมีการคาดการณ์ว่าเมล็ดโรบัสต้าที่จะผลิตได้นั้นจะตกลงไปกว่า 20% เลยทีเดียว
อ้างอิง:
- https://www.bloomberg.com/news/articles/2023-06-09/robusta-coffee-jumps-to-record-as-el-nino-worsens-supply-fears?srnd=markets-vp&sref=CVqPBMVg&leadSource=uverify%20wall
- https://www.gistda.or.th/news_view.php?n_id=3312&lang=TH
- เอลนีโญ (El Niño) คือสภาวะอากาศที่ส่งผลให้ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และออสเตรเลียขาดฝนและเกิดความแห้งแล้ง แต่ชายฝั่งของทวีปอเมริกาใต้กลับมีฝนตกเพิ่มมากขึ้น
- ภาวะการขาดดุลของเมล็ดกาแฟหมายความว่าปริมาณความต้องการนั้นสูงกว่าปริมาณผลผลิตที่มีอยู่ ซึ่งเป็นปัจจัยทำให้ราคาเมล็ดกาแฟพุ่งสูงขึ้น