เจาะลึกจุดสำคัญของการลงทุนแนว VI ที่ยังคงสู้กับความผันผวนในตลาดได้ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว พร้อมวิเคราะห์กลุ่มหุ้นไทยที่ยังโตตามเทรนด์โลก ปัจจัยการเติบโตของตลาดหุ้นจีน และค้นหาคำตอบว่าตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาจะเดินไปในทางไหน จากงาน ‘THE WISDOM Wealth Decoded Exclusive Dinner Talk ถอดรหัสประเด็นร้อน การลงทุนในยุคเศรษฐกิจผันผวน’ จัดโดยบริการเดอะวิสดอมกสิกรไทย
งานสัมมนาที่บริการเดอะวิสดอมกสิกรไทยจัดขึ้นนี้ได้จัดต่อเนื่อง 5 ครั้ง และได้หลากหลายมุมมองจากผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุน VI ทั้งจากเฉลิมเดช ลีวงศ์เจริญ นายกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย) (ThaiVI) และ ทิวา ชินดาพงศ์ ที่เชี่ยวชาญด้านการลงทุนหุ้น
การเมืองไม่มีผลกระทบในระยะยาว
เฉลิมเดชเริ่มต้นด้วยการให้ความเห็นเกี่ยวกับปัจจัยภายในประเทศที่ทุกคนกำลังให้ความสนใจอย่างการเมือง โดยระบุว่า ในฐานะนักลงทุนสาย VI ที่ให้ความสำคัญกับการคัดเลือกธุรกิจที่มีแนวโน้มเติบโตสูงเพื่อลงทุนในระยะยาว ปัจจัยการเมืองไม่ได้มีผลอะไรกับการตัดสินใจลงทุนของเขามากนัก แม้ว่าในระยะสั้นนโยบายบางส่วนของรัฐบาลใหม่อาจส่งผลกระทบกับ Sentiment ของหุ้นบางตัวก็ตาม
ในระยะสั้นบริษัทเล็กๆ อาจได้ประโยชน์ ทำให้อาจมีเงินโฟลวจากหุ้นใหญ่ไปหุ้นกลางและหุ้นเล็ก สำหรับมุมมองในระยะยาว กูรู VI มองว่าสิ่งที่ควรให้ความสำคัญมากกว่าคือแรงงานและผู้ประกอบการในระบบ ซึ่งทำหน้าที่สำคัญในการขับเคลื่อนการเจริญเติบโตหรือ GDP ของประเทศ
เลือกลงทุนในสิ่งที่เข้าใจ
เฉลิมเดชยังให้คำแนะนำถึงวิธีการเลือกธุรกิจที่ดีเพื่อเข้าลงทุนว่า อันดับแรกเราต้องรู้จักตลาดที่จะเข้าไปลงทุนก่อน เช่น เราลงทุนในประเทศไทยก็ต้องรู้ว่าประเทศไทยเก่งอะไร มีดีตรงไหน ซึ่งในกรณีของประเทศไทยเขามองว่ามีจุดเด่นในด้านภาคบริการ เพราะคนไทยมีหัวใจในด้านบริการ ดังนั้นธุรกิจที่น่าจะไปได้ดีจะอยู่ในกลุ่มท่องเที่ยว สปา โรงแรม ร้านอาหาร และการแพทย์ โดยเฉพาะการท่องเที่ยวที่มีความเชื่อมโยงกับ GDP ประเทศถึง 20%
“เราดูหุ้นทั้งตลาดแล้วเลือกอุตสาหกรรมที่เรามั่นใจที่สุดว่าพอมองอนาคตออก เพราะเกมนี้คือถ้าคาดการณ์ถูกเราจะได้ผลตอบแทน หุ้นมี 800 ตัว เราต้องเลือกที่เรารู้ ถ้าสิ่งที่คาดการณ์ไว้มันเกิดขึ้นจริง ราคาหุ้นก็จะขึ้นตามไปด้วยในอนาคต” กูรู VI กล่าว
เฉลิมเดชยกตัวอย่างถึงการลงทุนที่ประสบความสำเร็จของเขาว่า ย้อนกลับไปสิบกว่าปีก่อนเขามองว่าประเทศไทยอยู่ในทำเลที่เหมาะสมเป็นอย่างมาก ในรัศมีการเดินทาง 5-6 ชั่วโมงรอบตัวก็จะเป็นที่ที่ประชากรครึ่งหนึ่งของโลกอาศัยอยู่ เช่น จีน อินเดีย อินโดนีเซีย ซึ่งในโลกที่กำลังเข้าสู่ยุคเปลี่ยนผ่านที่คนเสพสื่อเหมือนๆ กัน เข้าถึงสิ่งเดียวกันได้ บริษัทที่สามารถผลิตสินค้าที่คนครึ่งหนึ่งของโลกชอบได้ด้วยจะมีโอกาสเติบโตมหาศาล
โดยสินค้าของเมืองไทยที่เขามองว่ามีศักยภาพสูงคือเครื่องสำอาง เพราะไทยถือเป็นแหล่งผลิตเครื่องสำอางให้ญี่ปุ่นมานาน ทำให้มี Know-How และเมื่อเทียบ Head-to-head กับแบรนด์ต่างชาติ เราสามารถทำได้ถูกกว่าและมีคุณภาพที่เท่าเทียมกันหรืออาจจะดีกว่าด้วย
“ผมคาดการณ์ว่าอนาคตธุรกิจนี้จะโตเยอะและโตได้อีกนาน เลยเข้าไปซื้อหุ้นในบริษัทแห่งหนึ่งตั้งแต่ราคายังถูกเมื่อสิบกว่าปีก่อน ตอนนั้นมาร์เก็ตแคปเขายังแค่ 200-300 ล้านบาท มาวันนี้มันเพิ่มเป็น 1.2 หมื่นล้าน เรียกได้ว่ากำไร 40 เท่า ถ้าเราใช้ Playbook แบบนี้ระหว่างวัน หุ้นจะสวิงมาก-น้อยก็ไม่ต้องไปสนมาก เพราะเรามองยาว” เฉลิมเดชกล่าว
เฟ้นหาคนที่เก่งที่สุด
เฉลิมเดชเล่าให้ฟังว่า การตัดสินใจว่าเลือกลงทุนในหุ้นตัวใดของเขาจะเป็นไปอย่างพิถีพิถัน เริ่มจากการวิเคราะห์ว่าอุตสาหกรรมนั้นตลาดใหญ่เพียงใด และผู้เล่นในอุตสาหกรรมนั้นใครเก่งที่สุด ในกรณีที่มีผู้เล่น 4-5 ราย เขาจะไล่ดูเจาะแต่ละกิจการโดยวัดว่าใครเก่งจากความสามารถในการแข่งขัน ไม่ได้ดูที่งบการเงิน
เฉลิมเดชระบุว่า ความสามารถในการแข่งขันมีอยู่หลากหลายรูปแบบ เช่น ความสามารถในการทำสิ่งที่คนอื่นทำไม่ได้ เช่น การมีสัมปทานของภาครัฐ การมีแบรนด์ที่ดังและเป็นที่รู้จักมากกว่า และความใหญ่ของโรงงานหรือการมีเครือข่ายสาขาที่มากกว่า เพราะมันจะหมายถึงการมีต้นทุนที่ถูกกว่าตามหลัก Economies of Scale
เป็นคนนอกที่ทำตัวเป็นคนใน
นอกจากนี้เฉลิมเดชยังเผยอีกหนึ่งเคล็ดลับในการอ่านเกมธุรกิจของเขาว่าคือ ‘การเป็นคนนอกที่ทำตัวให้เป็นคนใน’ หรือการทำความรู้จักธุรกิจนั้นๆ ให้ดีเทียบเท่ากับคนในบริษัทเอง โดยวิธีการที่เขาใช้คือการเข้าไปพูดคุยกับผู้บริหารบริษัท ไปเยี่ยมชมกิจการ หรือ Company Visit คุยกับพนักงาน ซัพพลายเออร์ อดีตพนักงาน คนกระจายสินค้า รวมถึงคู่แข่งของบริษัทนั้นๆ
“เราไปฟังจากบริษัทแล้วอย่าเพิ่งเชื่อ ให้ไปถามคู่แข่ง เพราะคู่แข่งที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกันส่วนใหญ่มักจะเล่าความจริงให้ฟังมากกว่า ต้องคุยกับพนักงาน อดีตพนักงานยิ่งดีเพราะกล้าพูด เรื่องธรรมาภิบาลของเจ้าของกิจการก็สำคัญ เราต้องศึกษาให้ดี เมืองไทยไม่ใหญ่จนเกินไป สมาคม VI ของเราก็มีเว็บบอร์ดให้สมาชิกอยู่ราว 10,000 คนแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน ถ้ารู้ว่าบริษัทไหนไม่โปร่งใสก็อย่าไปลงทุน” เฉลิมเดชกล่าว
ตลาดหุ้นจีน ดาวรุ่งใหม่
ด้าน ทิวา ชินธาดาพงศ์ หรือ เซียนมี่ เซียนหุ้นสาย VI ชื่อดังของเมืองไทย ให้มุมมองว่า ตลาดหุ้นจีนในปัจจุบันยังคงเป็นตลาดที่มีโอกาสเติบโตสูงในระยะยาว และชวนให้นึกถึงตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในช่วง 40 ปีก่อน เมื่อพิจารณาจาก 5 ปัจจัยแวดล้อมสำคัญ เช่น
- จีนมีมหาเศรษฐีเพิ่มขึ้นสัปดาห์ละ 2 คน ถือว่าเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์โลก วันนี้จำนวนอภิมหาเศรษฐกิจพันล้านดอลลาร์ในจีนมี 1,200 คน แซงหน้าสหรัฐฯ ที่มีประมาณ 700 คนไปเกือบเท่าตัว
- จีนมีคนที่จบการศึกษาด้าน STEM (Science, Technology, Engineering และ Mathematics) สาขาละ 4.6 ล้านคนต่อปี
- จีนมีวัฒนธรรมการทำงานแบบ 996 คือ เริ่มงาน 09.00 น. เลิกงาน 21.00 น. ทำงานสัปดาห์ละ 6 วัน
- จีนมีแผนเพิ่มจำนวนชนชั้นกลางจาก 300-400 ล้านคน เป็น 700-800 ล้านคน
- จีนมีการปรับหลักสูตรการเรียนใหม่แบบ 553 คือ ประถมศึกษา 5 ปี มัธยมศึกษา 5 ปี และอุดมศึกษา 3 ปี
โดยองค์ประกอบเหล่านี้ล้วนเกื้อหนุนให้เศรษฐกิจจีนสามารถเติบโตได้ต่อไป และคาดว่าจีนอาจจะก้าวไปอยู่ในจุดที่สหรัฐฯ ยืนอยู่ภายในอีก 10 ปีข้างหน้า
อย่างไรก็ดี ในความเห็นของทิวา การเข้าไปลงทุนในตลาดที่มีขนาดใหญ่อย่างจีนต้องอาศัยจังหวะและกลยุทธ์ที่ดี เนื่องจากหุ้นจีนจะมีลักษณะที่เวลาขึ้นก็ขึ้นแรง เวลาลงก็ลงลึกกว่าที่คิด โดยไม่เกี่ยวข้องกับภาพรวมดัชนีใดๆ
“นักลงทุนจึงควรศึกษาเป้าหมายของผู้บริหาร ความสามารถทางการแข่งขัน กลยุทธ์ที่จะนำพาธุรกิจเติบโตในระยะยาว เช่น มีความเป็นแพลตฟอร์ม ปรับตัวสู่ดิจิทัลได้ง่าย ที่สำคัญธุรกิจดังกล่าวต้องสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของประธานาธิบดีสีจิ้นผิง ซึ่งหากสามารถทำได้ย่อมจะมีโอกาสชนะในการลงทุน” ทิวากล่าว
สหรัฐฯ ยังน่าสนใจ ถดถอยไม่ลึก
สำหรับตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทิวามองว่าดัชนีที่ฟื้นตัวดีขึ้นในเวลานี้มีสาเหตุมาจากการนำพาตลาดของกลุ่มบิ๊กเทคอย่าง Meta, Nvidia, Microsoft, Tesla และ Google ที่ออกมาตรการรัดเข็มขัด ปลดพนักงานทั่วโลก เพื่อลดต้นทุนให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจที่ปีนี้คาดว่าจะเกิดเศรษฐกิจถดถอย
อย่างไรก็ตาม ทิวาเชื่อว่าภาวะเศรษฐกิจถดถอยหรือ Recession ของสหรัฐฯ ในรอบนี้จะเป็นการถดถอยที่สามารถควบคุมได้ ทำให้ผู้เล่นรายใหญ่มองข้ามช็อตไปยังศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่จะเกิดขึ้นในปี 2567 แล้ว ดังนั้นสหรัฐฯ จึงนับเป็นอีกตลาดที่น่าสนใจ แต่ต้องตัดสินใจเข้าตลาดให้ถูกจังหวะและถูกกลุ่มอุตสาหกรรมเช่นกัน