นักวิเคราะห์ประเมินว่าบรรดานักลงทุนจะให้ความสนใจกับหุ้นของบิ๊กเทคอย่าง Microsoft, Alphabet, Amazon และ Meta ที่มีกำหนดจะรายงานผลประกอบการไตรมาสแรกในรอบสัปดาห์นี้ เพราะหุ้นของบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ไม่กี่ตัวนี้ มีความสามารถในการขับเคลื่อนผลักดัน S&P 500
หลายฝ่ายมองว่า แม้ว่าจะเกิดความวุ่นวายในภาคธนาคาร ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับแผนการของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในการรักษาเสถียรภาพของราคา และความกลัวภาวะเศรษฐกิจถดถอย แต่หุ้นของเทคโนโลยีน่าจะทำผลงานได้ดีตามคาด
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- ผู้ก่อตั้ง Infosys บริษัทไอทีที่ใหญ่ที่สุดในอินเดีย ชี้ ChatGPT เป็นได้แค่เครื่องมือ ไม่สามารถเอาชนะความคิดของคนได้
- รู้จัก ChatGPT แชตบอตโด่งดังสุดอัจฉริยะ ที่กำลังเขย่าโลก ‘AI’ คืออะไร และอาจจุดชนวน Tech Disruption อีกครั้งอย่างไร
- ปี 2022 ปีแห่งวิกฤตของคนทำงานไอที มีการ ‘ปลดพนักงาน’ กว่า 97,000 ตำแหน่ง เพิ่มขึ้นมากถึง 649% จากปีก่อนหน้า
โดยหุ้นบริษัทเทคโนโลยีปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ก่อนที่จะขยับขึ้นอย่างต่อเนื่อง รายงานระบุว่า ดัชนี NASDAQ Composite ที่เน้นเทคโนโลยีเพิ่มขึ้นมากกว่า 15% ในปี 2023
หากรายงานผลประกอบการไม่ได้ดีตามคาดหวัง หุ้นของบริษัทเทคโนโลยีเหล่านี้ก็อาจปรับตัวลดลง และฉุดให้ตลาดหุ้นในวงกว้างปรับตัวลดลงเช่นกัน โดยช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนี S&P 500 ได้เริ่มปรับตัวลดลงบ้างแล้ว ผลจากรายงานผลประกอบการที่ไม่สู้ดีนักของภาคธนาคาร ท่ามกลางข้อมูลเศรษฐกิจแบบผสมผสานที่เผยให้เห็นภาพรวมที่ซับซ้อนของสุขภาพของเศรษฐกิจ
การรายงานผลประกอบการรายไตรมาสเกิดขึ้นในจังหวะที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ ส่งสัญญาณว่าพวกเขาสามารถขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งหน้าในต้นเดือนพฤษภาคม เพื่อต่อสู้กับอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และตลาดแรงงานที่ตึงตัว
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เจมส์ กอร์แมน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Morgan Stanley กล่าวว่า ความกังวลหลักคือธนาคารกลางสหรัฐฯ จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้เพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อหรือไม่ ซึ่งอาจนำไปสู่การชะลอตัวลงที่มากไปกว่าเดิม
Alphabet และ Microsoft รายงานในวันอังคาร ตามด้วย Meta ในวันพุธ และ Amazon ในวันพฤหัสบดี
บริษัทเทคโนโลยียังคงปลดพนักงานหลายพันคน เพื่อมุ่งเน้นที่ผลกำไรหลังจากหยุดการเติบโตในยุคโรคระบาด ซึ่งจุดนี้ทำให้นักลงทุนจับตาดูว่า มาตรการลดค่าใช้จ่ายจะช่วยหนุนผลประกอบการของบริษัทต่างๆ หรือไม่
ประเด็นสำคัญอีกประการหนึ่งสำหรับการสร้างรายได้ในบริษัทเทคโนโลยีคือการแข่งขันในด้านปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งแรงกดดันต่อบริษัทเทคโนโลยีในการพัฒนาธุรกิจ AI ของพวกเขาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วนับตั้งแต่ ChatGPT เข้าสู่ตลาดในเดือนพฤศจิกายน
ตั้งแต่นั้นมา Meta, Alphabet และ Microsoft ได้แสดงเจตจำนงที่จะเสริมความแข็งแกร่งให้กับสถานะของพวกเขาในสงคราม AI ส่วนบริษัทเทคโนโลยีอื่นๆ เช่น IBM, Amazon, Baidu และ Tencent ก็เช่นกัน
ยังมีบริษัทอื่นๆ ที่น่าสนใจอีกทั้ง Coca-Cola, PepsiCo, McDonald’s, Mondelez และ Procter & Gamble ซึ่งจะสามารถสะท้อนพฤติกรรมเชิงลึกของผู้บริโภคได้
ผลประกอบการของ American Airlines และ Southwest Airlines จะเสนอคาดการณ์ที่ชัดเจนยิ่งขึ้นเกี่ยวกับจำนวนเที่ยวบินที่ฟื้นตัวสำหรับสายการบินของสหรัฐฯ เนื่องจากความอยากพักผ่อนของผู้บริโภคยังคงสูง
Visa และ Mastercard ก็จะให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับพฤติกรรมการใช้จ่ายหนี้และบัตรเครดิตในปัจจุบัน ส่วน ExxonMobil และ Chevron คาดว่าจะรายงานผลประกอบการที่ได้รับประโยชน์จากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น เนื่องจากการรุกรานยูเครนของรัสเซีย โดยทั้งสองบริษัทรายงานผลกำไรประจำปีสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปีที่แล้ว
อ้างอิง: