นักวิจัยเผยว่า แบบจำลองสภาพอากาศเตือนถึงปรากฏการณ์เอลนีโญที่อาจจะเกิดขึ้นช่วงปลายปี 2023 นี้ ซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งของภาวะโลกร้อนในมหาสมุทรที่สามารถเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดภัยพิบัติด้านสภาพอากาศทั่วโลก และอาจรุนแรงถึงขั้นเป็น ‘ซูเปอร์เอลนีโญ’ โดยจะทำให้อุณหภูมิของมหาสมุทรแปซิฟิกบริเวณแถบเส้นศูนย์สูตรเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก
ปรากฏการณ์ซูเปอร์เอลนีโญครั้งล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อปี 2016 ที่ผ่านมา ซึ่งมีส่วนทำให้อุณหภูมิโลกพุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ สาเหตุส่วนหนึ่งเกิดจากภาวะโลกร้อนโดยฝีมือมนุษย์ที่ทำให้เกิดผลกระทบอย่างภาวะนำ้ท่วม ภาวะภัยแล้ง และโรคระบาดตามมา
โดยลักษณะของปรากฏการณ์เอลนีโญคือ อุณหภูมิผิวน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้นอย่างน้อย 0.8 องศาเซลเซียส เหนือค่าเฉลี่ยในพื้นที่แถบเส้นศูนย์สูตรกลางมหาสมุทรแปซิฟิก ขณะที่ปรากฏการณ์ซูเปอร์เอลนีโญจะมีอุณหภูมิในพื้นที่นั้นสูงกว่าค่าเฉลี่ย 2 องศาเซลเซียส
ทางด้านกรมอุตุนิยมวิทยาของออสเตรเลียเผยว่า แบบจำลองสภาพอากาศทั้ง 7 แห่งในหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งรวมถึงกรมอุตุนิยมวิทยาในสหราชอาณาจักร ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา ต่างคาดการณ์ว่าอุณหภูมิบริเวณพื้นผิวของน้ำทะเลจะทะลุถึงเกณฑ์เอลนีโญภายในเดือนสิงหาคมปีนี้
นักวิจัยยังชี้ว่า แบบจำลองสภาพอากาศที่คาดการณ์ไว้อาจเกิดความคลาดเคลื่อนหรือไม่แน่นอน แต่ถ้าหากเกิดซูเปอร์เอลนีโญขึ้นจริง เราจำเป็นต้องเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าว โดยกรมอุตุนิยมวิทยาออสเตรเลียประเมินว่า มีโอกาสราว 50% ที่จะเกิดปรากฏการณ์เอลนีโญในช่วงปลายปีนี้
ขณะที่ ดร.ไมค์ แมคฟาเดน นักวิจัยอาวุโสประจำหน่วยงานด้านมหาสมุทรและบรรยากาศแห่งชาติของสหรัฐฯ กล่าวว่า โดยทั่วไปเอลนีโญมักจะเกิดขึ้นทุกๆ 4 ปี หรือมากกว่านั้น ในขณะที่ซูเปอร์เอลนีโญมีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นทุกๆ 10-15 ปี ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่ดูผิดปกติมากๆ ที่เราจะเผชิญกับปรากฏการณ์นี้อีก หลังจากที่เพิ่งจะเคยเกิดขึ้นไปเมื่อ 6-7 ปีก่อนเท่านั้น
งานศึกษาด้านสภาพอากาศหลายชิ้นชี้ให้เห็นว่า ในขณะที่ภาวะโลกร้อนยังคงดำเนินต่อไป โอกาสที่โลกจะเผชิญหน้ากับซูเปอร์เอลนีโญก็เพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย อาทิ ในออสเตรเลีย เอลนีโญอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดภัยแล้ง คลื่นความร้อนแผ่ปกคลุม วิกฤตไฟป่า รวมถึงอาจทำให้แนวปะการังเกรตแบร์ริเออร์รีฟเผชิญกับปัญหาปะการังฟอกขาวที่รุนแรงมากยิ่งขึ้น
โดยนักวิจัยจะพิจารณาถึงแนวโน้มและความเป็นไปได้ที่จะเกิดซูเปอร์เอลนีโญอีกครั้ง หลังจากทราบผลลัพธ์ของแบบจำลองสภาพอากาศในช่วงเดือนมิถุนายนปีนี้
แฟ้มภาพ: Ethan Daniels / Shutterstock
อ้างอิง:
