จากบทสัมภาษณ์ สุพันธ์ุ มงคลสุธี รองหัวหน้าพรรค และหัวหน้าทีมเศรษฐกิจของพรรคไทยสร้างไทย ซึ่งเผยแพร่ไปเมื่อวันที่ 29 มีนาคมที่ผ่านมา บอกเล่าชีวิตและตัวตนของสุพันธ์ุจากความสนใจวัยเด็ก ถึงช่วงชีวิตการทำงานและการทำธุรกิจ กระทั่งการตัดสินใจลงสนามการเมือง
THE STANDARD สรุป 5 ข้อรู้จักสุพันธ์ุ ผู้ขออาสากอบกู้เศรษฐกิจไทย
1. ชอบการค้าขายตั้งแต่เด็ก
สุพันธ์ุบอกว่า เขาอินกับธุรกิจตั้งแต่เด็ก เพราะพ่อแม่ฝึกให้เขาทำงานตั้งแต่เด็ก ช่วงโรงเรียนปิดเทอมเขาจะทำงานเสริมเพื่อให้ได้เงินค่าขนมจากพ่อแม่เพิ่ม พอฝึกไปเรื่อยๆ สุพันธ์ุบอกว่าเขามีความสนุกกับงานค้าขายและตัวเลขกำไร ครั้งหนึ่งเคยไปซื้อแผงสลากจับรางวัลมาขายเพื่อนๆ ซึ่งหากจับได้สลากรางวัลก็จะได้มากกว่าเสีย โดยภาพรวมแต่ละแผงก็จะคำนวณกำไรให้เราอยู่แล้ว
2. เริ่มจากเซลขายของ…ถึง CEO หมื่นล้าน
“คุณพ่ออยากให้ผมจบออกมาเร็วๆ เขาไม่อยากให้ผมเรียนเยอะ เขาพูดว่าสมัยเขามาจากเมืองจีนเขาไม่ได้เรียนหนังสือ เขาทำธุรกิจได้”
สุพันธ์ุเริ่มจากช่วยธุรกิจที่บ้าน รับหน้าที่เป็นเซลช่วยขายของ ขับเวสป้าไปเอาตัวอย่างหนังสือที่ขายให้กับลูกค้าดู
“พ่อเราทำธุรกิจ พอเราเริ่มดูแลการขายเราก็ขายเครื่องเขียน ก็เริ่มสงสัยว่าทำไมต้องรับของจากคนอื่นมาขายอีกที น่าจะนำเข้าเองหรือขายเองได้ เราควรมาเป็นผู้ค้าส่งเครื่องเขียนรายใหญ่”
จากจุดคิดตรงนั้นก็พยายามคิดหาวิธีที่จะทำเครื่องเขียนเป็นลักษณะขายส่งที่รายใหญ่ พยายามศึกษาจากบริษัทต่างๆ เริ่มนำเข้าสินค้ามากขึ้น กระทั่งการปลุกปั้น Synnex บริษัทนำเข้าสินค้าไอทีที่ทำรายได้ระดับหมื่นล้านบาท
3. ‘รับปากแล้วต้องทำได้’ รหัสลับสู่ความสำเร็จในทางธุรกิจ
สุพันธ์ุเผยถึงเคล็ดลับการทำธุรกิจของเขาให้ประสบความสำเร็จ คือความน่าเชื่อถือทั้งตัวเรา องค์กร และคู่ค้า มอง Stakeholder ให้รอบด้าน และเครดิตความน่าเชื่อถือ การที่เรารับปากใครแล้วต้องทำให้ได้ตามที่รับปาก วางเป้าหมายอย่างไรก็ต้องไปให้ถึงหรือพยายามไปให้ถึง
4. ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย 3 สมัย
ช่วงหนึ่งบริษัทของสุพันธ์ุไปขยายธุรกิจที่จังหวัดเพชรบุรี เขาจึงได้รับตำแหน่งประธานสภาอุตสาหกรรมที่นั่น จากผลงานการขยายธุรกิจที่เพชรบุรี ทำให้เขาได้รับการทาบทามมานั่งเป็นประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยถึง 3 สมัย
5. ตัดสินใจลงสนามการเมือง
สุพันธ์ุบอกว่าทันทีที่เขาบอกว่าจะลงสนามการเมือง มีแต่คนไม่เห็นด้วย ส่วนหนึ่งก็เซอร์ไพรส์ เพราะเป็นประธานสภาอุตสาหกรรมมา 3 สมัย ต้องยอมรับว่ามีเพื่อนในภาคธุรกิจเยอะ และมาจากทั้ง 2 ขั้ว ถ้าลงมาก็ต้องเสียเพื่อนไปอีกข้างหนึ่ง
“แต่วันนี้ผมคิดว่าถ้าเราไม่ลงมาเราจะเสียหายมากกว่านั้น ประเทศจะเสียหายมากกว่านั้น รวมถึงตัวเรา ถึงลูกถึงหลานของเรา เพราะเราเห็นแล้วปัญหามันแรงขึ้นๆ”
จากโจทย์ใหญ่ของปัญหาเศรษฐกิจหลังวิกฤตโรคระบาด ที่ไม่ใช่ภาคธุรกิจที่กระทบหนัก แต่ประชาชน ‘คนตัวเล็ก’ ที่มีกำลังและทุนน้อยกว่าย่อมบอบช้ำ และกลับมาตั้งหลักได้ยากขึ้น จุดนี้คือความตั้งใจที่นำนโยบายต่างๆ ของพรรคมาผลักดัน และช่วยให้คนตัวเล็กได้กลับมามีที่ยืน ทำมาหากินเลี้ยงปากท้องได้อีกครั้ง