×

ปตท. ติดอันดับ 24 ของแบรนด์ที่แข็งแกร่งสูงสุดของโลก เดินหน้าทุ่ม 3 แสนล้านบาทรุกธุรกิจใหม่ใน 5 ปี

07.03.2023
  • LOADING...
ปตท.

Brand Finance Global ยกเป็นแบรนด์ที่มีความแข็งแกร่งสูงสุดอันดับที่ 24 ของโลก จากการพัฒนาธุรกิจพลังงานแห่งอนาคต และการก้าวสู่ธุรกิจใหม่ที่ไกลกว่าพลังงาน ด้าน ปตท. เตรียมเดินหน้าทุ่มงบ 3 แสนล้านบาท ลงทุนธุรกิจใหม่ในช่วง 5 ปี

 

อรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ. ปตท. หรือ ปตท. (PTT) กล่าวว่า บริษัทได้รับการจัดอันดับเป็นหนึ่งใน 500 แบรนด์แรกของโลกที่มีมูลค่าสูงสุดกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และเป็นแบรนด์ที่มีความแข็งแกร่งสูงสุดอันดับที่ 24 ของโลก จากการประเมินของ Brand Finance Global บริษัทที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์และการประเมินมูลค่าแบรนด์ชั้นนำ ของโลก ตอกย้ำศักยภาพการขับเคลื่อนองค์กรในทุกมิติ

 

ทั้งนี้ การติดอันดับองค์กรที่มีมูลค่าแบรนด์สูงสุด และเป็นหนึ่งในแบรนด์ที่มีความแข็งแกร่งสูงสุดของโลก นับเป็นความภาคภูมิใจของ ปตท. ที่แสดงให้เห็นถึงการขับเคลื่อนธุรกิจอย่างแข็งแกร่งในทุกมิติ ภายใต้วิสัยทัศน์ Powering Life with Future Energy and Beyond ขับเคลื่อนทุกชีวิต ด้วยพลังแห่งอนาคต

 

“ปตท. พร้อมเป็นพลังสนับสนุนประเทศไทยให้ก้าวหน้าอย่างมั่นคง  โดยมุ่งสร้างการเติบโตทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ควบคู่กับการดูแลสังคม ชุมชน สิ่งแวดล้อม และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน ตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน ผ่านการพัฒนาธุรกิจพลังงานแห่งอนาคต และการก้าวสู่ธุรกิจใหม่ที่ไกลกว่าพลังงาน เช่น ธุรกิจวิทยาศาสตร์เพื่อชีวิต (Life Science) ระบบปัญญาประดิษฐ์ หุ่นยนต์ และเทคโนโลยีดิจิทัล (AI & Robotics & Digitalization)” อรรถพลกล่าว

 

ทั้งนี้ Brand Finance Global ได้ประเมิน ปตท. จากการเติบโตของผลการดำเนินงานที่ดีมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งในธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ ธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่น ธุรกิจน้ำมัน รวมถึงการดำเนินธุรกิจตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อการส่งเสริมและฟื้นฟูการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ผลของการดำเนินงานที่เด่นชัดดังกล่าว ส่งผลให้เกิดมูลค่าแบรนด์ที่แข็งแกร่งทัดเทียมแบรนด์ในระดับสากล

 

Alex Haigh กรรมการผู้จัดการ ภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ของ Brand Finance กล่าวว่า อุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซธรรมชาติได้เข้าสู่ช่วงเวลาของการเปลี่ยนแปลงไปเป็นการใช้พลังงานทดแทนในไม่กี่ปีที่ผ่านมา เนื่องจากผลกระทบของโรคระบาดและความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างประเทศ ปตท. ซึ่งเป็นบริษัทผู้นำด้านพลังงานเห็นถึงความสำคัญ และเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าว โดยปรับกลยุทธ์สู่การดำเนินธุรกิจพลังงานครอบคลุมทุกมิติ บนพื้นฐานของการคำนึงถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน

 

ก่อนหน้านี้ บุรณิน รัตนสมบัติ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจใหม่และโครงสร้างพื้นฐาน ปตท. ระบุว่า บริษัทได้เตรียมงบลงทุนสำหรับขยายการลงทุนในกลุ่มธุรกิจใหม่ของกลุ่ม ปตท. กรอบวงเงินประมาณ 300,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 30% ของกรอบวงเงินลงทุนกลุ่ม ปตท. ในช่วง 5 ปีข้างหน้า (ปี 2566-2570) ที่วางกรอบไว้รวมทั้งกลุ่มประมาณ 1 ล้านล้านบาท

 

โดยหลังจากนี้กลุ่ม ปตท. จะเน้นการลงทุนด้านยานยนต์ไฟฟ้า (EV) แบบครบวงจร ธุรกิจโลจิสติกส์และโครงสร้างพื้นฐาน ธุรกิจด้านเฮลท์แคร์ ธุรกิจด้าน AI Robotics หรือระบบปัญญาประดิษฐ์ที่สามารถต่อยอดไปสู่ธุรกิจสมาร์ทอิเล็กทรอนิกส์ได้ในอนาคต โดยร่วมกับพันธมิตรทั้งในประเทศและต่างประเทศในการช่วยกันสร้างสรรค์เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับคนในสังคม

 

ขณะเดียวกัน กลุ่มบริษัทลูกที่เดินหน้าธุรกิจใหม่ๆ ก่อนหน้านี้ อาทิ บริษัท อินโนบิก นูทริชั่น จำกัด ก็มีการขยายการลงทุนไปยังไต้หวัน ส่วนบริษัท อรุณ พลัส จำกัด ก็มีการร่วมมือกับพันธมิตรในการให้บริการชาร์จไฟแก่รถยนต์ไฟฟ้า รวมถึงกลุ่ม ปตท. ยังคงเดินหน้าร่วมมือกับ Foxconn การสร้างโรงงานผลิตรถ EV ในประเทศไทย มูลค่ากว่า 30,000 ล้านบาท และบริษัทกำลังศึกษาการต่อยอดธุรกิจแบตเตอรี่ และ Smart Electronic อีกด้วย 

 

ทั้งนี้ บริษัทยังคงตั้งเป้าสัดส่วนรายได้จากธุรกิจใหม่ 30% ของรายได้รวมทั้งหมดภายในปี 2573 จากราว 10% โดยมองว่าการสร้าง Ecosystem บวกกับการลงทุนด้านเทคโนโลยีจะเพิ่มการเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด 

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง


 

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising