ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ Economic Intelligence Center (SCB EIC) ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินทิศทางการส่งออกไทยในระยะข้างหน้าอาจไม่สดใส หลังมูลค่าการส่งออกสินค้าไทยเดือนพฤศจิกายนหดตัวแรงเป็นเดือนที่ 2 ต่อเนื่อง
โดยมูลค่าการส่งออกสินค้าของไทยในเดือนพฤศจิกายนอยู่ที่ 22,308 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัว -6%YoY (เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน) ต่อเนื่องจาก -4.4% ในเดือนตุลาคม นับเป็นการหดตัวสองเดือนติดต่อกันหลังจากขยายตัวต่อเนื่องนาน 20 เดือน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- ธนาคารออมสิน เปิดตัวเงินฝากดอกเบี้ยขั้นบันได จ่ายสูงสุด 4.5% และ 10% หวังส่งเสริมการออมระยะยาว
- เปิดสถิติ 9 เดือนแรกปี 65 ธนาคาร ไหนครองแชมป์แอปล่มมากที่สุด
- ไม่ตกขบวน! ไทยพาณิชย์ปรับขึ้นดอกเบี้ย MLR และ MOR 0.25% พร้อมขยับดอกเบี้ยเงินฝากประจำสูงสุด 0.50%
EIC ระบุว่า เมื่อส่องเข้าไปยังไส้ในของการส่งออกในเดือนล่าสุดของไทยจะพบว่าสินค้าส่งออกหลักหดตัวเกือบทุกกลุ่ม เริ่มจากสินค้าเกษตรที่หดตัวสูงขึ้น -4.5% ต่อเนื่องจาก -4.3% ในเดือนตุลาคม โดยการส่งออกยางพาราหดตัวลงมากตามความต้องการของตลาดโลกที่ลดลงในช่วงวิกฤตโควิด ขณะที่ไก่แปรรูป ไก่สดแช่เย็นและแช่แข็ง ผลไม้สดแช่เย็น แช่แข็ง และแห้ง ขยายตัวดีในเดือนนี้
ขณะที่สินค้าอุตสาหกรรมหดตัว -5.1% เพิ่มขึ้นจาก -3.5% ในเดือนตุลาคม โดยมีกลุ่มสินค้าสำคัญที่หดตัว เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ เคมีภัณฑ์ ทองคำยังไม่ได้ขึ้นรูป เม็ดพลาสติก อากาศยาน ยานอวกาศ และส่วนประกอบ เครื่องยนต์สันดาปภายในแบบลูกสูบและส่วนประกอบ เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์
ส่วนสินค้าแร่และเชื้อเพลิงหดตัว -35% ต่อเนื่องจาก -23.9% ในเดือนก่อนตามอุปสงค์ที่ลดลงและปัจจัยด้านราคาที่ชะลอตัวลง
โดยมีเพียงสินค้าอุตสาหกรรมเกษตรที่พลิกกลับมาขยายตัวเล็กน้อย 1% จากที่หดตัว -2.3% ในเดือนตุลาคม ซึ่งเป็นกลุ่มสินค้าที่ส่งออกดีต่อเนื่องมาตลอด 20 เดือน โดยการส่งออกน้ำตาลทรายและผลิตภัณฑ์ข้าวสาลีและอาหารสำเร็จรูปอื่นๆ ขยายตัวได้ดี
นอกจากนี้ เมื่อเจาะลงไปดูการส่งออกรายตลาดพบว่าภาพรวมยังหดตัว สะท้อนอุปสงค์โลกที่ชะลอตัวลงอย่างรวดเร็ว โดยตลาดจีนหดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 อยู่ที่ -9.9% ตลาดสหรัฐฯ และยุโรป (EU28) พลิกกลับมาขยายตัวจากที่หดตัวในเดือนก่อน แต่ขยายตัวต่ำหากเทียบกับช่วงก่อนหน้าที่ 1.2% และ 3.3% ตามลำดับ สอดคล้องกับสัญญาณเศรษฐกิจที่จะชะลอตัวลงมาก ขณะที่ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศหลักทั้งสองที่เพิ่มขึ้น
ด้านตลาด CLMV ที่เคยขยายตัวดีพลิกกลับมาหดตัวครั้งแรกในรอบ 15 เดือนที่ -0.3% จาก 10.6% ในเดือนก่อน ขณะที่ตลาด ASEAN5 หดตัวมากขึ้น -15.5% เทียบกับที่เริ่มหดตัว -13.1% ในเดือนตุลาคม อย่างไรก็ดี ตลาดตะวันออกกลางยังขยายตัวได้ต่อเนื่องและเป็นตลาดหลักเดียวของส่งออกไทยที่ขยายตัว 10 เดือนติดต่อกัน
สำหรับมูลค่าการนำเข้าของไทยในเดือนพฤศจิกายน อยู่ที่ 23,650.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ พลิกกลับมาขยายตัวที่ 5.6% เทียบกับ -2.3% ในเดือนตุลาคม โดยเป็นผลจากการนำเข้าสินค้าเชื้อเพลิงที่เร่งขึ้นมาก 50.6%YoY เทียบกับเดือนก่อนที่ขยายตัวเพียง 7.5% อีกทั้งการนำเข้าอาวุธ ยุทธปัจจัย ขยายตัวถึง 2,027.6% จากปัจจัยฐานต่ำ และการนำเข้าสินค้าทุน เช่น เครื่องมือวิทยาศาสตร์และเครื่องมือแพทย์ เครื่องบินและอุปกรณ์การบิน ขยายตัวได้ดี
ทั้งนี้ มูลค่าการนำเข้าสินค้าของไทยยังคงชะลอตัวช้ากว่ามูลค่าการส่งออกมาก ตามแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยและสัญญาณเศรษฐกิจโลกโดยรวมชะลอตัวลง ส่งผลให้ดุลการค้าในระบบศุลกากรเดือนนี้ขาดดุล -1,342.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ นับเป็นการขาดดุลต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 8 โดยรวม 11 เดือนแรกของปี 2022 มูลค่าการนำเข้าขยายตัวดี 16.3% และดุลการค้าขาดดุล -15,088.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
EIC ระบุว่า การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกที่มีภาพชัดเจนขึ้นทำให้แนวโน้มการส่งออกสินค้าของไทยในระยะต่อไปยังคงน่าห่วง โดยสัญญาณล่าสุดที่สะท้อนความน่ากังวลประกอบด้วย
1. ข้อมูลดัชนี Global Manufacturing PMI ที่ลดลงมาอยู่ในระดับ 48.8 ในเดือนพฤศจิกายน ซึ่งเป็นการหดตัวในภาคการผลิตที่รุนแรงสุดในรอบ 29 เดือน นอกจากนี้ หากพิจารณาในดัชนีย่อยของ PMI พบว่ายอดคำสั่งซื้อใหม่และยอดคำสั่งซื้อจากต่างประเทศปรับลดลงต่อเนื่อง ขณะที่ระดับงานคงค้างลดลงเช่นเดียวกัน สะท้อนแนวโน้มความต้องการสินค้าอุตสาหกรรมที่ลดลงมากในระยะข้างหน้าตามทิศทางเศรษฐกิจโลก
ในทางตรงกันข้ามอุปสงค์ที่ชะลอตัวลงส่งผลให้ปัญหาการขาดแคลนอุปทานคลี่คลายลงบ้าง สะท้อนจากดัชนีย่อย PMI หมวดระยะเวลาในการส่งมอบสินค้าพบว่า แม้ยังต่ำกว่าระดับ 50 แต่ทยอยปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
2. ข้อมูลการส่งออก 20 วันแรกของเกาหลีใต้ในเดือนธันวาคมที่ยังหดตัวต่อเนื่อง -8.8% แม้รุนแรงน้อยกว่า -16.7% ในเดือนก่อน
3. การส่งออกของจีนในเดือนพฤศจิกายนหดตัว -8.9% รุนแรงที่สุดในรอบ 33 เดือน เทียบกับเดือนตุลาคมที่หดตัวเล็กน้อย ด้านการนำเข้าของจีนหดตัว -10.6% นับเป็นการหดตัว 2 เดือนติดต่อกันและรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2020
นอกจากนี้ จีนนำเข้าสินค้าไทยลดลง -14.1% นับเป็นการหดตัว 8 ครั้งในรอบ 9 เดือนที่ผ่านมา ทั้งนี้ การยกเลิกมาตรการ Zero-COVID ของจีนที่เพิ่งประกาศอาจมีส่วนช่วยให้ความต้องการสินค้าในตลาดจีนเพิ่มสูงขึ้นในระยะข้างหน้า แต่ผลกระทบในระยะสั้นนี้อาจมีไม่มากนักเนื่องจากมีความไม่แน่นอนสูง อีกทั้งเศรษฐกิจและอุปสงค์ในการบริโภคในจีนยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่
โดยสรุปจากข้อมูล 3 ประการที่กล่าวมานี้ สะท้อนให้เห็นอุปสงค์ตลาดโลกที่ลดลงชัดเจน ส่งผลต่ออุปสงค์ของสินค้าจากไทยที่อาจลดลงเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ดี ท่ามกลางความท้าทายในระยะข้างหน้า ตลาดตะวันออกกลางอาจเป็นโอกาสของส่งออกไทย จากมูลค่าการส่งออกที่ขยายตัวต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี ประกอบกับเป็นตลาดที่มีศักยภาพเติบโตได้ต่อเนื่อง โดยเฉพาะตลาดซาอุดีอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และกาตาร์ ในสินค้าส่งออกกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ อาหาร ชิ้นส่วนยานยนต์ วัสดุก่อสร้าง และเครื่องปรับอากาศ