เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา Berkshire Hathaway บริษัทโฮลดิ้งข้ามชาติสัญชาติอเมริกัน รายงานการขายหุ้นของบริษัท BYD ผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้า (EV) สัญชาติจีน จำนวน 1.3 ล้านหุ้น นับเป็นการขายหุ้นออกมาเป็นครั้งแรก หลังจากที่เข้าลงทุนตั้งแต่เมื่อปี 2008
Berkshire ซึ่งเป็นบริษัทที่เน้นการถือหุ้นลงทุนในบริษัทอื่น ภายใต้การบริหารของมหาเศรษฐีนักลงทุนอย่าง วอร์เรน บัฟเฟตต์ ยังได้รายงานการขายหุ้น BYD ออกมาเพิ่มเติมอีกหลังจากนั้น ทำให้สัดส่วนการถือครองลดลงจาก 20.04% มาเหลือ 15.99% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดของบริษัท หรือลดลงจาก 225 ล้านหุ้น มาเหลือ 175.6 ล้านหุ้น
บทความที่เกี่ยวข้อง
- อย่าสับสนระหว่าง การพนัน กับ การลงทุน มองวิธีการลงทุนแบบ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ในช่วงสภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจ
- หุ้น BYD ทรุดหนักสุดรอบเกือบ 2 ปี นักลงทุนกังวล ‘วอร์เรน บัฟเฟตต์’ เทขาย
- วอร์เรน บัฟเฟตต์ ทุ่มอีก 9.9 ล้านดอลลาร์ ซื้อหุ้นน้ำมันเพิ่มเป็น 17.4% ด้าน J.P. Morgan คาดกรณีเลวร้ายสุด ราคาน้ำมันจะพุ่งไปถึง 380 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
การทยอยขายหุ้น BYD โดย Berkshire ดังกล่าว ทำให้ตลาดตั้งคำถามว่า หรือบัฟเฟตต์จะไม่ได้เชื่อมั่นใจบริษัท BYD อีกต่อไปแล้ว?
ล่าสุด Stella Li รองประธานกรรมการบริหารของ BYD ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า “มันเป็นเรื่องปกติที่เขา (บัฟเฟตต์) จะขายทำกำไรบ้าง” ซึ่งการให้สัมภาษณ์ครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกที่ผู้บริหารระดับสูงของ BYD พูดถึงประเด็นการขายหุ้นของบัฟเฟตต์
ภายหลังการให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 6 ธันวาคมที่ผ่านมา ราคาหุ้นของ BYD กระโดดขึ้นทันที 6.9% หลังเปิดตลาดในเช้าวันถัดมา พร้อมทำระดับสูงสุดนับแต่เดือนกันยายนปีนี้
Li กล่าวต่อว่า “ฉันไม่คิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นตัวบ่งชี้ว่าบัฟเฟตต์จะทิ้ง BYD เขารัก BYD เขารักทีมบริหาร” และ “บัฟเฟต์จะยังคงเป็นผู้สนับสนุนรายสำคัญสำหรับบริษัท”
ทั้งนี้ ราคาหุ้น BYD ลดลงมาประมาณ 30% นับแต่ที่เริ่มมีการคาดเดาว่าบัฟเฟตต์อาจจะขายหุ้น BYD ออกมา หลังจากที่มีรายงานข้อมูลเกี่ยวกับหุ้น BYD ที่ Berkshire ถืออยู่เข้ามาในระบบของสำนักหักบัญชีของตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงตั้งแต่วันที่ 11 กรกฎาคมที่ผ่านมา
การดิ่งลงของหุ้น BYD นับแต่เดือนกรกฎาคม ทำให้มูลค่าของบริษัทลดลงไป 3 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือราว 1 ล้านล้านบาท
BYD ถือเป็นหนึ่งในหุ้นที่สร้างกำไรอย่างมหาศาลให้กับ Berkshire และบัฟเฟตต์ ด้วยเงินลงทุนตั้งต้นที่ราว 230 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นกว่า 1,570% จนมีมูลค่าถึง 4.5 พันล้านดอลลาร์
พร้อมกันนี้ Bloomberg ยังได้เปิดเผยไฮไลต์เกี่ยวกับบทสัมภาษณ์ของ Li เกี่ยวกับทิศทางธุรกิจของ BYD ว่า
- BYD กำลังพิจารณาเกี่ยวกับการลงทุนสร้างโรงงานผลิตยานยนต์ไฟฟ้าส่วนบุคคลในยุโรป ซึ่งอาจไม่ใช่แค่แห่งเดียว แต่อาจจะเป็น 2 แห่ง หลังจากที่ก่อนหน้านี้บริษัทได้ประกาศแผนที่จะขายรถยนต์ในหลายประเทศในยุโรป ได้แก่ เยอรมนี สวีเดน นอร์เวย์ เนเธอร์แลนด์ ฝรั่งเศส และสหราชอาณาจักร
- BYD ยังได้ซื้อเรือขนส่งของตัวเอง เพื่อใช้สำหรับส่งออกรถยนต์ไฟฟ้า หลังจากที่บริษัทชิปปิ้งต่างๆ ไม่สามารถให้บริการได้อย่างน่าพึงพอใจ
- Li ไม่ได้มอง Tesla เป็นคู่แข่ง เพราะความสำเร็จของ Tesla หมายถึงการที่ผู้คนกำลังเรียนรู้เกี่ยวกับยานยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น “คู่แข่งของเราอาจจะเป็นศัตรูของเรา ซึ่งก็คือรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน”
- BYD จะเปิดตัวแบรนด์รถหรู 2 แบรนด์ในปีหน้า หนึ่งในนั้นจะเป็นแบรนด์ที่ทำรถ SUV และรถสปอร์ต ขณะที่อีกหนึ่งแบรนด์จะเป็นรถที่เน้นสะสม โดยให้ความเป็นแฟชั่น
อ้างอิง: