ตลาดหลักทรัพย์ฯ แถลงความคืบหน้าในการจับมือสมาคมโบรกเกอร์, ปปง. และ ก.ล.ต. เข้าตรวจสอบความผิดปกติหุ้น MORE ระบุล่าสุดมีความคืบหน้าแล้วเกิน 50% มั่นใจว่าภายในวันที่ 18 พฤศจิกายนนี้มีข้อมูลครบ เดินหน้าส่งให้ตำรวจดำเนินการต่อ พร้อมเปิดทางให้ผู้มีข้อมูลหรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับหุ้น MORE เข้ามาให้ข้อมูลและเปลี่ยนสถานะจากจำเลยเป็นพยาน
ภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ความคืบหน้าในการตรวจสอบความผิดปกติในการซื้อขายหลักทรัพย์ บมจ.มอร์ รีเทิร์น (MORE) ซึ่งพบว่ามีการซื้อขายที่ผิดปกติในวันที่ 10 พฤศจิกายนที่ผ่านมานั้น ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ทำงานร่วมกับสมาคมโบรกเกอร์ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และล่าสุดผลการตวจสอบได้ข้อมูลที่มีความคืบหน้าไปเกิน 50% แล้ว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- จับตา หุ้น MORE ! หลังตลาดหลักทรัพย์และสมาคมโบรกเกอร์เตรียมแถลงแนวทางแก้ปมผิดนัดชำระค่าหุ้น
- ทำความเข้าใจเกม หุ้น MORE ทิ้งคำถามถึงช่องโหว่ของวงการหุ้นไทย
- ตลาดหลักทรัพย์ฯ แขวนหุ้น ‘MORE’ วันนี้ พร้อมประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบธุรกรรม
โดยพบหลักฐานที่มีนัยสำคัญชัดเจนว่ามีการกระทำที่ไม่ปกติ ดังนั้นจึงมีความมั่นใจว่าภายในวันที่ 18 พฤศจิกายนนี้ จะสามารถรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องได้ครบทั้งหมด และส่งต่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อดำเนินการต่อไป อย่างไรก็ตาม ยังไม่สามารถระบุได้ว่าจะปลดเครื่องหมาย SP สำหรับหุ้น MORE หรือแขวนต่อไป หลังครบกำหนดในวันที่ 18 พฤศจิกายนนี้
“ตอนนี้อยากจะให้โอกาสใครก็ตามที่มีข้อมูลหรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับความผิดปกติของหุ้น MORE แล้วอยากจะเปลี่ยนจากสถานะจำเลยมาเป็นพยาน ซึ่งสามารถติดต่อเข้ามาให้ข้อมูลได้กับ SET Contact Center เบอร์โทรศัพท์ 0 2009 9999 และเราจะเอาข้อมูลมารวบรวมเพิ่มเพื่อส่งให้กับพนักงานสอบสวนต่อไป รวมกับข้อมูลที่เรามีอยู่ในตอนนี้… อันนี้เป็นโอกาสที่ท่านจะได้ช่วยตัวเองได้ในตอนนี้ ที่น่าสนใจที่สุดของเรื่องนี้คือเราสามารถใช้กฎหมายอันไหนได้เร็วที่สุดในการเข้ามาตรวจสอบป้องกันเหตุที่จะเกิดขึ้นต่อไปได้เร็ว เพราะกฎหมายที่อยู่กับผู้กำกับดูแลแต่ละแห่งมีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกัน บางอันใช้ได้เร็วกว่า บางอันใช้ได้ช้ากว่า มีประโยชน์ทั้งนั้น หากนำมาใช้ร่วมกันได้จะทำให้การกำกับดูแลและการลงโทษทำได้ครบถ้วนที่สุด” ภากรกล่าว
สำหรับความคืบหน้ากรณีหลักทรัพย์ MORE ที่ตรวจสอบความผิดปกติของการซื้อขายหลักทรัพย์ MORE ที่พบในวันที่ 10 พฤศจิกายน 2565 พบว่าสภาพการซื้อขายผิดปกติ โดยมีราคาปรับตัวสูงขึ้นตั้งแต่เปิดตลาด โดยเพิ่ม 4.3% จากราคาปิดในวันก่อนหน้า ด้วยมูลค่าการซื้อขายทั้งวันที่สูงมากถึง 7,143 ล้านบาท เปรียบเทียบกับระยะเวลาเฉลี่ย 30 วันก่อนหน้าอยู่ที่เพียง 360 ล้านบาท ทั้งนี้ ในช่วงที่เปิดตลาดมีปริมาณการซื้อขายสูงถึง 1,500 ล้านหุ้น คิดเป็นมูลค่าประมาณ 4,300 ล้านบาท
โดยมีลักษณะของการส่งคำสั่งซื้อขายที่ผิดปกติ คือพบว่าเป็นการส่งคำสั่งซื้อจากผู้ซื้อเพียง 1 ราย ผ่านโบรกเกอร์หลายแห่งที่ราคา 2.90 บาท ส่วนฝั่งขายพบว่ามีการส่งคำสั่งขายเป็นจำนวนมากจากผู้ขายหลายรายที่ระดับราคาใกล้เคียงกับราคาเสนอซื้อ โดยมีจำนวนที่สั่งขายตั้งแต่ประมาณ 70 ล้านหุ้น/ราย ไปจนถึงประมาณ 600 ล้านหุ้น/ราย
ทั้งนี้ ทันทีที่เปิดตลาด ได้เกิดการจับคู่ซื้อขายกับผู้ขายหลายรายผ่านบริษัทสมาชิกหลายแห่ง หลังจากนั้นภายในเวลาไม่ถึง 20 นาทีหลังเปิดตลาด ราคาได้ทยอยปรับตัวลงจนไปต่ำสุดที่ Floor ที่ราคา 1.95 บาท และปิดตลาดที่ราคาดังกล่าว ฝ่ายกำกับการซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงได้แจ้งเตือนบริษัทสมาชิกถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้น
ด้านผลกระทบที่มีต่อเนื่องมาถึงการซื้อขายหลักทรัพย์ MORE ในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2565 พบว่าหลังเปิดการซื้อขาย ราคาหลักทรัพย์ MORE เปิดตลาดที่ราคา Floor ในทันทีที่ราคา 1.37 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขายเบาบาง โดยลดเหลือเพียง 134 ล้านบาท จากกว่า 7,000 ล้านบาทในวันก่อนหน้า
โดยการดำเนินการร่วมกันของบริษัทสมาชิก สมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย (ASCO) และตลาดหลักทรัพย์ฯ ตั้งแต่วันที่ 10 พฤศจิกายน 2565 เป็นต้นมา ได้มีการทำงานร่วมกันระหว่างบริษัทสมาชิกที่เกี่ยวข้องกับตลาดหลักทรัพย์ฯ ในการรวบรวมข้อมูลการซื้อขายหลักทรัพย์ MORE ที่เกิดขึ้นในวันที่ 10 พฤศจิกายน 2565 ทั้งหมด เพื่อที่จะร่วมกันทำการตรวจสอบธุรกรรมที่ต้องสงสัย
ทั้งนี้ จากการตรวจสอบร่วมกับหน่วยงานที่มีอำนาจกำกับดูแล ได้พบธุรกรรมที่ต้องสงสัยสำหรับธุรกรรมที่ได้ตรวจสอบแล้ว หากไม่พบความผิดปกติ บริษัทสมาชิกก็ได้ดำเนินการจ่ายเงินให้แก่ลูกค้าไปแล้ว ส่วนธุรกรรมที่พบความผิดปกติ บริษัทสมาชิกก็จำเป็นที่จะต้องทำการตรวจสอบลูกค้าอย่างเข้มข้น และได้มีการระงับการทำธุรกรรมในบัญชีดังกล่าวของลูกค้าระหว่างที่ทำการตรวจสอบ ซึ่งเป็นหน้าที่ของบริษัทสมาชิกตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
หลังจากที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้มีการประสานกับกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อให้เข้ามาทำการสอบสวน ก็ได้มีความคืบหน้าเป็นอย่างดี โดยในวันนี้ (16 พฤศจิกายน) มีบริษัทหลักทรัพย์หลายแห่งได้ไปดำเนินการร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (ปอศ.) ซึ่งอยู่ภายใต้กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางแล้ว
อย่างไรก็ดี แม้ผลการตรวจสอบในเรื่องดังกล่าวนี้จะพบข้อมูลใหม่ๆ ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ยังไม่สามารถให้รายละเอียดถึงจำนวนผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง รวมถึงตัวมูลค่าตัวเลขต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง
นอกจากนี้ตลาดหลักทรัพย์ฯ อยู่ระหว่างการติดตามดูข้อมูลกรณีที่ อมฤทธิ์ กล่อมจิตเจริญ ผู้ถือหุ้นใหญ่ของ MORE เปิดเผยข้อมูลการปิดสมุดรายชื่อผู้ถือ MORE โดยใช้ข้อมูลวันที่ 30 กันยายนปีนี้ ขณะที่เหตุการณ์ความผิดปกติของหุ้น MORE เกิดขึ้นในวันที่ 10-11 พฤศจิกายน เพื่อนำมาใช้ในการตรวจสอบรายชื่อผู้ถือหุ้นของ MORE ต่อไป
ส่วนกรณีกระแสข่าวว่า อมฤทธิ์ กล่อมจิตเจริญ ผู้ถือหุ้นใหญ่ของ MORE ติดต่อเข้ามาพูดคุยกับตลาดหลักทรัพย์ฯ ในการเป็นตัวกลางเพื่อขอรับซื้อหุ้น MORE ที่มีประเด็นปัญหาค้างอยู่กับโบรกเกอร์ ขอยันยืนว่ายังไม่รับการติดต่อจาก อมฤทธิ์ กล่อมจิตเจริญ ตามข่าวที่เกิดขึ้น
นอกจากนี้ในสัปดาห์หน้า ทั้งตลาดหลักทรัพย์ฯ สมาคมบริษัทหลักทรัพย์ฯ เตรียมที่จะดำเนินการปรึกษาหารือร่วมกับหน่วยงานกำกับดูแล เพื่อทำการวางแผนหาแนวทางป้องกันไม่ให้เหตุการณ์ในลักษณะนี้เกิดขึ้นอีกในอนาคต เพื่อพิจารณาดูช่องโหว่ที่เกิดขึ้น รวมถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น
ด้าน พิเชษฐ สิทธิอำนวย นายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย (ASCO) กล่าวว่า ข้อมูลขณะนี้พบว่ามีจำนวนโบรกเกอร์ที่มีความเกี่ยวข้องในกรณีหุ้น MORE ในฝั่งผู้ซื้อจำนวนประมาณ 10 แห่ง ส่วนฝั่งผู้ขายมีจำนวนต่ำกว่า 10 แห่ง โดยฝั่งโบรกเกอร์ในฝั่งผู้ซื้อกับผู้ขายอาจมีการซ้ำกันได้บ้าง ซึ่งในฝั่งผู้ซื้อลูกค้าไม่มีการชำระเงินค่าหุ้น MORE ผลกระทบมูลค่าของความเสียหายยังไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลได้
อย่างไรก็ดี ในกรณีธุรกรรมการซื้อขาย MORE ที่มีรายการซื้อขายเกิดขึ้นในวันที่ 10 พฤศจิกายน โบรกเกอร์ดำเนินการโอนเงินเข้าบัญชีในฝั่งผู้ขายหุ้นเพื่อลูกค้าแล้วเรียบร้อยแล้ว แต่กรณีรายการที่พบข้อสงสัยได้ใช้อำนาจประกาศข้อบังคับของ ปปง. เพื่อสั่งระงับบัญชีการเบิกถอนไว้ชั่วคราว เพื่อทำการตวจสอบข้อมูลซึ่งมีจำนวนหลักสิบบัญชีเท่านั้นที่พบความน่าสงสัย ขณะที่ในส่วนบัญชีที่มีการจ่ายเงินให้กับลูกค้าที่สามารถเบิกถอนได้ตามปกติมีจำนวนประมาณ 3,000 บัญชี
ส่วนกรณี อมฤทธิ์ กล่อมจิตเจริญ ผู้ถือหุ้นใหญ่ของ MORE จะติดต่อเข้ามาเจรจาเพื่อขอรับซื้อหุ้น MORE ที่มีประเด็นปัญหาค้างอยู่กับโบรกเกอร์ ก็สามารถทำได้ตามปกติ แต่จากข้อมูลที่ทราบยังไม่ได้มีการติดต่อเจรจามายังโบรกเกอร์