OR ได้ประกาศปรับขึ้นราคาเครื่องดื่ม 5 บาทต่อแก้ว จากต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับอาหารที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะราคาเมล็ดกาแฟ โดยราคาที่ขึ้นนั้นคิดเป็นประมาณ 10% ของราคาขายเครื่องดื่มเฉลี่ย
บล.กสิกรไทยระบุในบทวิเคราะห์ว่า ผู้บริหารบริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR คาดว่าจะรายงาน EBITDA ของธุรกิจไลฟ์สไตล์เพิ่มขึ้นที่ประมาณ 7-8% หรือ 400-460 ล้านบาทต่อปี
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- ตลาดกาแฟเวียดนามเติบโตเร็ว OR แท็กมือ CRG เปิด Café Amazon สาขาที่ 14 ที่นครโฮจิมินห์ ตั้งเป้าปีนี้เปิดให้ครบ 20 สาขา
- บุกตะวันออกกลาง! Café Amazon เปิดสาขาแรกที่ ‘กรุงริยาด ซาอุดีอาระเบีย’ ตั้งเป้าขยาย 150 สาขาใน 10 ปี
- Café Amazon เปิดร้าน Kiosk รูปแบบใหม่ที่เซ็นทรัลเวิลด์ มีบาริสต้าเป็น ‘หุ่นยนต์ 100%’ รับรองรสชาติเหมือนกันทุกแก้วแน่นอน!
อย่างไรก็ตาม ผลประโยชน์ที่อาจเกิดขึ้นนี้ต่ำกว่าคาดการณ์เดิมของ บล.กสิกรไทย เนื่องจากต้นทุนที่มีราคาต่ำในสต๊อกสินค้าได้ถูกใช้จนหมดแล้ว อีกทั้งผลประโยชน์บางส่วนที่จะได้รับจะถูกโอนไปยังตัวแทนจำหน่าย
นอกจากนี้ บล.กสิกรไทยประเมินว่า การปรับขึ้นราคาครั้งนี้จะส่งผลบวกต่อกำไรของ OR ที่ 325-370 ล้านบาทต่อปี
“กลยุทธ์การเป็นผู้นำด้านราคาน่าจะช่วยให้ OR สามารถทำกำไรให้สูงเป็นสถิติใหม่ได้ในปี 2565 นอกจากนี้ ราคาน้ำมันที่ปรับลดลงเมื่อเร็วๆ นี้ จะทำให้ OR สามารถเพิ่ม Marketing Margin ของน้ำมันปลีกได้ ขณะที่ปริมาณการขายจะได้รับประโยชน์จากอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นตามความยืดหยุ่นของราคา” บล.กสิกรไทยกล่าว
การตัดสินใจปรับขึ้นของราคา OR สอดคล้องกับการขึ้นราคาของคู่แข่งหลายราย ไม่ว่าจะเป็น ‘อินทนิล’ ในเครือบางจาก หรือ BCP รวมถึง ‘All Café’ ในเครือ CPALL ที่ขึ้น 5 บาททุกรายการ ตอนนี้ยังมีเพียง ‘ร้านกาแฟพันธุ์ไทย’ ในเครือ PTG ที่ประกาศตรึงราคาไว้
บล.เอเซีย พลัส ได้ปรับเพิ่มประมาณการกําไรสุทธิปี 2565-2566 ขึ้น 39.0% และ 22.5% จากเดิมมาอยู่ราว 1.8 หมื่นล้านบาท และ 1.7 หมื่นล้านบาท ตามลําดับ สะท้อนกําไรขั้นต้นเฉลี่ยต่อลิตร (Marketing Margin) ที่ปรับตัวขึ้นแรงในช่วง 1H65 มาอยู่ที่ราว 1.38 บาทต่อลิตร จากค่าเฉลี่ยปกติที่ราว 1.0 บาทต่อลิตร หนุนจากสถานการณ์ราคาน้ํามันในตลาดโลกที่ปรับตัวสูง ส่งผลให้บริษัทมี Stock Gain เพิ่มขึ้น รวมถึงการผ่อนคลายการตรึงราคาน้ํามันดีเซลของภาครัฐ และปริมาณขายน้ํามันอากาศยานที่เพิ่มขึ้นตามการเปิดรับนักท่องเที่ยวในต่างประเทศ
โดยในช่วง 2H65 ฝ่ายวิจัยคาด Marketing Margin จะเริ่มปรับตัวลดลงหลังจากทิศทางราคาน้ํามันในตลาดโลกเริ่มปรับตัวสู่ช่วงขาลง ส่งผลให้คาดบริษัทจะบันทึก Stock Gain น้อยลง โดยฝ่ายวิจัยปรับเพิ่มสมมติฐาน Marketing Margin ในปี 2565-2566 ขึ้นมาอยู่ที่ 1.25 และ 1.15 บาทต่อลิตร จากเดิมกําหนดไว้ที่ 1 บาทต่อลิตร ตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นไป โดยยังคงสมมติฐานระยะยาวปี 2567 เป็นต้นไปที่ 1 บาทต่อลิตรไว้เช่นเดิมภายใต้ประมาณการใหม่ ส่งผลให้กําไรสุทธิปี 2565 เพิ่มขึ้น 55.8%YOY ขณะที่ปี 2567 ปรับตัวลงเล็กน้อย 4.4%YOY
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
- Twitter: twitter.com/standard_wealth
- Instagram: instagram.com/thestandardwealth
- Official Line คลิก https://lin.ee/xfPbXUP