การระบาดของโควิดที่สร้างวิกฤตอย่างหนักให้ธุรกิจสวนสนุกของ Disney จนรายได้หดหายและต้องปลดพนักงาน แต่ในทางกลับกันก็ได้ทำให้เจ้าของ ‘อาณาจักรแห่งเวทมนตร์’ ได้เปลี่ยนแปลงหลายอย่างจนนำมาสู่ ‘กำไร’ ที่มากขึ้น แม้มีผู้เข้าชมน้อยลงก็ตาม
Disney กำลังสร้างรายได้และผลกำไรเป็นประวัติการณ์จาก ‘ธุรกิจ Disneyland’ ซึ่งมาจากการเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์ครั้งสำคัญที่ไม่ได้เน้นจำนวนลูกค้าให้มากที่สุดอีกแล้ว แต่กลับเป็นการดึงเงินออกจากกระเป๋าให้มากที่สุดต่างหาก
สิ่งที่ Disney ทำคือ เปิดตัวฟีเจอร์แอปพลิเคชันที่เรียกว่า Genie+ บนสมาร์ทโฟน ซึ่งมีค่าใช้จ่าย 15 ดอลลาร์ หรือราว 543 บาทต่อคนต่อวัน นอกเหนือจากค่าเข้าชมแล้ว โดยลูกค้าที่ยอมจ่าย Genie+ จะทำให้สามารถสแตนด์บายสำหรับต่อคิวสถานที่ยอดนิยมได้ และหากเป็นเครื่องเล่นยอดนิยมจะต้องจ่ายเงินเพิ่มขึ้นอีก
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- Disney+ เพิ่ม ‘โฆษณา’ ในแพ็กเกจราคาเดิม หากไม่อยากดูต้อง ‘จ่ายเพิ่ม’ เริ่มก่อนที่อเมริกาปลายปีนี้
- ‘มิกกี้เมาส์’ กำลังจะเป็นอิสระ? Disney อาจสูญเสียตัวละครที่รักอันดับหนึ่ง หลังลิขสิทธิ์ที่ยืนยาว 95 ปีกำลังจะหมดอายุ
นอกจากนี้ยังมีเวอร์ชันฟรีที่รู้จักกันในชื่อ Genie ยังช่วยให้เจ้าหน้าที่ของสวนสนุกกำหนดความหนาแน่นของลูกค้าและกระจายผู้คนรอบๆ สวนสนุกอย่างเท่าเทียมกันมากขึ้น เพื่อลดเวลาการรอโดยรวม และเพิ่มยอดขายผ่านการเสนอโปรโมชันอาหาร สินค้า และค่าธรรมเนียมการจองรถ
ในเวลาเดียวกันสิทธิประโยชน์มากมายที่เคยเป็น ‘ของฟรี’ ตั้งแต่ที่จอดรถสำหรับผู้ถือบัตรรายปีบางราย รถรับ-ส่งสนามบิน ไปจนถึงสายรัดข้อมือ MagicBand ที่ใช้เป็นกุญแจห้องพักในโรงแรมและบัตรผ่านสวนสนุกได้ถูกยกเลิก หรือมีค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นมา
เจ้าพ่อสวนสนุกยังได้ขึ้นราคาห้องพักในโรงแรม อาหาร และสินค้าในปีที่ผ่านมา เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อพุ่งขึ้นสู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในสหรัฐฯ
โฆษกหญิงของ Disney กล่าวว่า การกำหนดราคาสวนสนุกของ Disney นั้นมาจาก ‘อุปสงค์และอุปทาน’ ซึ่ง “ไม่ต่างจากเครื่องบิน โรงแรม หรือเรือสำราญ”
สิ่งที่สะท้อนว่ากลยุทธ์ของ Disney ประสบความสำเร็จอย่างงดงามคือ การทำลายสถิติทั้งรายได้และกำไรจากการดำเนินงาน โดยเฉพาะในไตรมาสสิ้นสุดวันที่ 2 กรกฎาคม ธุรกิจที่รวมสวนสนุกอยู่ด้วยมีรายได้เป็นประวัติการณ์ที่ 5.42 พันล้านดอลลาร์ และกำไรจากการดำเนินงาน1.65 พันล้านดอลลาร์ด้วยกัน
Josh D’Amaro ประธานแผนกสวนสนุก ประสบการณ์ และผลิตภัณฑ์ของ Disney กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวทำให้ผู้มาเยือนมีทางเลือกมากขึ้นในการใช้เวลาและเงินในสวนสนุก ในขณะเดียวกันก็ทำให้สวนสนุก “ประสบความสำเร็จในเชิงพาณิชย์อย่างมาก ”
ในปีงบประมาณ 2021 เป็นปีแรกที่รีสอร์ตหลัก 2 แห่งอย่าง Walt Disney World Resort ในฟลอริดา และ Disneyland Resort ทางตอนใต้ของแคลิฟอร์เนีย ได้เปิดขึ้นอีกครั้ง ท่ามกลางตัวเลขจำนวนผู้เข้าร่วมที่สวนสนุกในสหรัฐฯ ของ Disney ลดลง 17% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า แต่การใช้จ่ายต่อหัวเพิ่มขึ้น 17% หรือเกือบ 3 เท่าของอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา
การเสกมายากล ‘ราคา’ ครั้งใหม่ในธุรกิจสวนสนุกได้ช่วยหนุนราคาหุ้นและเพิ่มผลประกอบการทางการเงินในช่วงเวลาที่ Disney ต้องสูญเสียเงินให้กับธุรกิจอื่นนับพันล้านบาท เช่น บริการสตรีมมิง Disney+ ที่ได้รับความนิยมแต่มีค่าใช้จ่ายสูง
ในเวลาเดียวกัน การเปลี่ยนแปลงที่ผลักดันให้รายได้และกำไรเพิ่มขึ้น ทำให้เกิดความโกรธแค้นกับ ‘แฟนๆ ที่จงรักภักดี’ รวมถึงผู้ถือบัตรรายปีที่รู้สึกว่าพวกเขากำลังถูกผลักให้ใช้จ่ายมากขึ้น
แม้กลุ่มนี้เป็นแหล่งรายได้ที่เชื่อถือได้ โดยธนาคารเพื่อการลงทุน UBS ประมาณการเมื่อต้นปีที่แล้วว่า ผู้ถือบัตรประจำปีคิดเป็นครึ่งหนึ่งของผู้เข้าชมทั้งหมด แต่ในอีกด้านหนึ่งลูกค้ากลุ่มนี้ก็ใช้จ่ายน้อยกว่าผู้เยี่ยมชมรายอื่น จึงไม่แปลกที่ Disney จะอยากผลักดันลูกค้ากลุ่มอื่นที่สร้างรายได้ให้มากกว่า
ตอนนี้ Disney ได้ยกเลิกการขายบัตรรายปีสำหรับสวนสนุก Disneyland และ Walt Disney World โดยผู้ถือบัตรรายปีที่มีอยู่สามารถต่ออายุบัตรได้ แต่ Disney ได้ขึ้นราคา 14% เป็น 1,599 ดอลลาร์ จาก 1,399 ดอลลาร์
เมื่อเร็วๆ นี้ แฟนๆ หลายคนเริ่มโพสต์ภาพตัวเองที่สวนสนุกบนโซเชียลมีเดีย โดยสวมเสื้อยืดที่มีข้อความว่า ‘เสียเปรียบ’ เพื่อประท้วงการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว
ต้องจับตาดูต่อไปว่าการเสกมายากลครั้งใหม่นี้จะทำให้ ‘เวทมนตร์’ ของ Disney ยังทรงอำนาจต่อไปหรือไม่ เพราะถึงแม้จะทำให้รายได้เพิ่มขึ้นจนทำให้นักลงทุนยิ้มแก้มปริ แต่ในอีกทางหนึ่งคนที่เคยบูชา Disney อาจหันหลังชนิดไปแล้วไปลับได้เช่นกัน
ภาพ: Joseph Prezioso/Anadolu Agency via Getty Images
อ้างอิง: