วานนี้ (27 มิถุนายน) องค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ หรือ NATO ประกาศเตรียมเพิ่มกำลังทหารที่อยู่ในสถานะ ‘เฝ้าระวังขั้นสูง’ ขึ้นจากเดิมอีก 7 เท่า รวมเป็นกว่า 300,000 นาย เพื่อเตรียมพร้อมรับมือผลพวงที่อาจตามมาจากสงครามระหว่างยูเครนและรัสเซีย
เยนส์ สโตลเทนเบิร์ก เลขาธิการ NATO กล่าวก่อนที่การประชุมผู้นำ NATO จะเปิดฉากขึ้นในระหว่างวันที่ 28-30 มิถุนายนนี้ว่า “รัสเซียไม่ตอบรับข้อเสนอการเป็นพันธมิตรหรือกรอบการเจรจาที่ NATO พยายามหยิบยื่นให้ตลอดหลายปี…รัสเซียเลือกที่จะเผชิญหน้ามากกว่าการพูดคุย เราเสียใจกับเรื่องดังกล่าว แต่แน่นอนว่าเราจะต้องใช้มาตรการตอบโต้สิ่งที่เกิดขึ้น”
สโตลเทนเบิร์กระบุว่า ในอนาคต NATO จะเพิ่มกองกำลังทหารที่อยู่ในโหมดเฝ้าระวังขั้นสูงขึ้นแตะที่กว่า 300,000 ราย เทียบกับระดับของกองกำลังตอบโต้เร็ว (NATO Response Force: NRF) ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 40,000 ราย โดยกองกำลังใหม่นี้จะช่วยให้ NATO มีความพร้อมในการป้องกันชาติพันธมิตรในระดับที่สูงขึ้น ครอบคลุมอาณาเขตทั้งทางบก ทางน้ำ ทางอากาศ และทางไซเบอร์ ทั้งนี้ ภายใต้แผนการดังกล่าว NATO จะย้ายคลังอาวุธยุทโธปกรณ์และเสบียงอื่นๆ ไปทางตะวันออกไกลขึ้น โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2023
นอกจากนี้ NATO จะเพิ่มจำนวนกองกำลังพันธมิตรในรัฐบอลติกและอีก 5 ประเทศแนวหน้าจนถึง ‘ระดับกองพลน้อย’ โดยสโตลเทนเบิร์กระบุว่า ความเคลื่อนไหวดังกล่าวถือเป็นการยกเครื่องการป้องกันและการป้องปรามครั้งใหญ่ที่สุดของ NATO นับตั้งแต่ยุคสงครามเย็น
การที่รัสเซียส่งทหารเข้าบุกโจมตียูเครนตั้งแต่เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ได้จุดชนวนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งใหญ่ในโลกตะวันตก ส่งผลให้ประเทศที่มีสถานะเป็นกลางอย่างฟินแลนด์และสวีเดนสมัครเข้าร่วมเป็นสมาชิก NATO รวมถึงยูเครนที่ปัจจุบันมีสถานะเป็นผู้สมัครเข้าร่วมสหภาพยุโรป (EU) อย่างไรก็ตาม สโตลเทนเบิร์กระบุว่า ตอนนี้เขายังไม่สามารถให้สัญญาเกี่ยวกับความคืบหน้าของสวีเดนและฟินแลนด์ได้ เนื่องจากตุรเคียคัดค้านการเข้าร่วมดังกล่าว
ทั้งนี้ คาดการณ์ว่าที่ประชุม NATO จะมีการประกาศอย่างชัดเจนว่ารัสเซียเป็นชาติที่สร้างภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติสมาชิก NATO โดยตรง อีกทั้งยังเป็นภัยคุกคามต่อระเบียบโลกอีกด้วย
แฟ้มภาพ: Andreas Gora – Pool / Getty Images
อ้างอิง: