สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า รัสเซียได้โจมตีกรุงเคียฟด้วยขีปนาวุธเมื่อช่วงเช้ามืดวานนี้ (5 มิถุนายน) ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 1 เดือน หลังจากที่กองทัพรัสเซียถอนกำลังออกจากพื้นที่รอบกรุงเคียฟและเคลื่อนย้ายแนวรบไปทางตะวันออก
โดยผลจากการโจมตีทำให้มีผู้บาดเจ็บ 1 คน แต่ไม่มีผู้เสียชีวิต ขณะที่ทางการยูเครนเปิดเผยว่า รัสเซียได้โจมตีด้วยขีปนาวุธพิสัยไกลที่ยิงจากเครื่องบินทิ้งระเบิด ซึ่งอยู่ไกลถึงทะเลแคสเปียน
สำหรับสถานการณ์สู้รบในยูเครนตอนนี้ แนวรบหลักยังอยู่ในพื้นที่ภาคตะวันออก ซึ่งล่าสุดพบว่า กองทัพยูเครนสามารถโจมตีโต้กลับและยึดพื้นที่เมืองซีวีโรโดเนตสก์ ที่เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในภูมิภาคดอนบาส คืนจากกองทัพรัสเซียได้แล้วกว่าครึ่ง
โดยกระทรวงกลาโหมอังกฤษเปิดเผยว่า การบุกยึดคืนพื้นที่ในเมืองซีวีโรโดเนตสก์มีแนวโน้มที่จะลดทอนความได้เปรียบของรัสเซียลง ขณะที่พบว่ากองทัพรัสเซียได้ส่งกองกำลังของกลุ่มกบฏแบ่งแยกดินแดนที่มีอาวุธยุทโธปกรณ์ล้าหลังและสภาพย่ำแย่เข้าควบคุมพื้นที่เมือง
ทั้งนี้ รัฐบาลสหรัฐอเมริกาเปิดเผยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า จะส่งระบบยิงจรวดพิสัยกลางที่ล้ำสมัยให้แก่ยูเครน ซึ่งรัฐบาลเคียฟตั้งความหวังว่าระบบยิงจรวดใหม่นี้จะช่วยสร้างความสมดุลแก่ยูเครนในการรับมือการโจมตีของรัสเซียได้มากขึ้น
นอกจากนี้รัฐบาลเยอรมนียังให้คำมั่นที่จะส่งระบบขีปนาวุธ IRIS-T ซึ่งเป็นระบบขีปนาวุธแบบอากาศสู่อากาศพิสัยใกล้ถึงกลางที่ล้ำสมัยที่สุดของเยอรมนีให้แก่ยูเครน เพื่อป้องกันเมืองจากการโจมตีทางอากาศของรัสเซียด้วย
อย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ได้ให้สัมภาษณ์สถานีโทรทัศน์ท้องถิ่นของรัสเซีย ระบุว่า เขาไม่หวั่นวิตกต่อผลกระทบจากระบบยิงจรวดใหม่ที่สหรัฐฯ จะส่งให้ยูเครน ซึ่งไม่ใช่สิ่งใหม่แต่อย่างใด แต่เตือนว่ารัสเซียจะขยายรายชื่อเป้าหมายการโจมตีในพื้นที่ภาคตะวันตกของยูเครน หากประเทศใดก็ตามมีการส่งอาวุธพิสัยไกลให้แก่ยูเครน พร้อมทั้งชี้ถึงการสนับสนุนอาวุธให้ยูเครนว่ามีเป้าหมายเพียงอย่างเดียว คือการขยายความขัดแย้งด้วยอาวุธให้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
ภาพ: Photo by Christopher Furlong / Getty Images
อ้างอิง: