ทีมชาติยูเครนกับศึกที่สำคัญไม่แพ้สงคราม เพราะฟุตบอลโลกคือความหวังของคนทั้งประเทศ

เป็นระยะเวลาร่วม 2 เดือน นับจากที่เสียงระเบิดดังขึ้นในเช้าวันหนึ่งที่กรุงเคียฟ เป็นเวลา 2 เดือน ที่นักฟุตบอลชาวยูเครนต้องซ่อนตัวด้วยความหวาดกลัวว่าจะมีวันใดที่ระเบิดมิสไซล์ของรัสเซียจะตกลงมาที่บ้านของพวกเขาหรือไม่

ฟุตบอลไม่ใช่เรื่องสำคัญของชีวิตอีกต่อไป ชีวิตต่างหากที่เป็นเรื่องสำคัญ

แต่ในวันที่ 30 เมษายน เวลา 08.00 น. รถบัสที่มีนักฟุตบอลทีมชาติยูเครนที่ค้าแข้งอยู่ในลีกประเทศได้เคลื่อนตัวออกจากที่ทำการใหญ่ของสมาคมฟุตบอล รถคันนี้เคลื่อนไหวอย่างเงียบๆ ลัดเลาะไปตามภูมิประเทศของประเทศที่ล่มสลาย

37 ชั่วโมงหลังจากนั้น โค้ชและนักฟุตบอลทีมชาติยูเครนทุกคนจึงได้กลับมารวมตัวกันเป็นครั้งแรกที่เทือกเขาแอลป์ในประเทศสโลวีเนีย เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการสู้ศึกอีกด้านที่มีความสำคัญไม่แพ้กันต่อชาวยูเครนทุกคน

“ได้โปรด” ข้อความจากทหารในแนวหน้าที่รบพุ่งโดยไม่รู้ว่าจะมีชีวิตรอดถึงวันไหน “ทำทุกอย่างที่คุณสามารถทำได้ และไปฟุตบอลโลกให้ได้”

ข้อความนี้ถูกส่งมาย้ำเตือนนักเตะยูเครนทุกคน และทำให้แม้สภาพจิตใจของพวกเขาจะบอบช้ำอย่างสาหัส แต่ในเวลาเดียวกันพวกเขาทุกคนก็รู้ตัวว่าการที่ได้รับข้อยกเว้นจากการประกาศให้ชายทุกคนในประเทศต้องเข้าร่วมรบนั้น หมายถึงประเทศชาติก็ฝากความหวังอีกด้านไว้บนสองบ่าของพวกเขา

ฟุตบอลไม่ได้เป็นแค่เกม และฟุตบอลโลกก็ไม่ใช่แค่รายการแข่งขัน มันคือตัวจุดประกายความหวังที่จะนำความสุขมาให้แก่ชาวยูเครนที่กำลังทนทุกข์ทรมานจากสงครามในเวลานี้

“ทุกคนในยูเครนต้องการเพียงสิ่งเดียวคือการยุติสงครามนี้” โอเล็กซานเดอร์ ซินเชนโก กัปตันทีมหลั่งน้ำตาในระหว่างการแถลงข่าวก่อนเกม “แต่เมื่อมาถึงในเกมฟุตบอล เราเองก็มีความฝันของพวกเรา เราอยากไปฟุตบอลโลก และเราอยากจะมอบความรู้สึกดีๆ ให้แก่ชาวยูเครน เพราะพวกเขาต้องการสิ่งนี้มากเหลือเกินในเวลานี้

“ผมมั่นใจชาวยูเครนทุกคนจะเฝ้ามองเราอยู่ เรารู้สึกได้ถึงกำลังใจที่ส่งมา แต่การพูดนั้นมันพูดได้ สิ่งที่เราต้องทำคือการพิสูจน์ในสนาม เราจะต้องพยายามเพื่อทำให้ชาวยูเครนมีความสุขและภูมิใจ”

สิ่งที่ดีคือนับจากที่ทีมชาติยูเครนได้เดินทางมาถึงแคมป์เก็บตัวที่ศูนย์ฝึกฟุตบอลแห่งชาติของสโลวีเนีย ในเมืองเบอร์โด ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือติดกับชายแดนประเทศออสเตรีย พวกเขาได้รับการดูแลเป็นอย่างดีจากการสนับสนุนของสหพันธ์ฟุตบอลยุโรป (ยูฟ่า) และ อเล็กซานเดอร์ เซเฟริน ประธานผู้เป็นชาวสโลวีเนียน

“พวกเราซาบซึ้งใจอย่างมาก” โอเล็กซานเดอร์ กลีวินสกี เจ้าหน้าที่ฝ่ายสื่อของทีมชาติยูเครนกล่าว “ทีมได้อยู่ในสภาพการเตรียมทีมที่ดีที่สุด ทั้งศูนย์ฝึก ยิม ห้องแต่งตัว โรงแรมที่สวยงามซึ่งมีวิวทิวทัศน์มหัศจรรย์ ขณะที่ทุกคนในทีมก็ยังติดตามข่าวสารจากทางโทรศัพท์มือถือด้วยความกังวลถึงความปลอดภัยของญาติมิตรในยูเครน”

ในช่วงเดือนที่ผ่านมาทีมชาติยูเครน รวมถึงสโมสรดังของประเทศอย่าง ดินาโม เคียฟ และชัคตาร์ โดเนตสก์ ยังได้ออกเดินทางไปแข่งขันกับทีมสโมสรต่างๆ ทั่วยุโรป เพื่อเรียกร้องสันติภาพ หารายได้สนับสนุนกองทัพของประเทศ และเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการแข่งขันด้วย เพราะนักฟุตบอลไม่ได้ลงสนามต่อเนื่องยาวนานมาหลายเดือน

มันอาจจะไม่ถึงกับดีที่สุด แต่ก็ดีเท่าที่พวกเขาจะสามารถทำได้จากความช่วยเหลือของทุกฝ่ายแล้ว

สำหรับเกมในคืนนี้คู่แข่งของพวกเขาคือทีมชาติสกอตแลนด์ ซึ่งเป็นเกมที่ถูกเลื่อนมาจากเดือนมีนาคมในช่วงที่สงครามยังคงรุนแรงตามคำขอของสกอตแลนด์ และเวลส์ ทีมที่เข้าไปรอพบผู้ชนะของเกมในคืนนี้ในเกมเพลย์ออฟรอบสุดท้าย ที่ขอให้เลื่อนการแข่งขันออกไปก่อน เพราะรู้ว่ายูเครนไม่น่าอยู่ในสภาพที่พร้อมสำหรับการแข่งขัน

แต่ถึงจะเห็นใจกันแค่ไหน แอนดี โรเบิร์ตสัน กัปตันทีม ‘ตาร์ตัน’ ก็ยืนยันว่าสกอตแลนด์ซึ่งจะได้เป็นเจ้าบ้านลงเล่นในแฮมป์เดน พาร์ก ของตัวเอง พวกเขาก็อยากไปฟุตบอลโลกเช่นเดียวกัน

“เรามีความเห็นใจอย่างสูงต่อชาวยูเครน ผมคิดว่าเราพอจะพูดได้ว่าทุกคนในสมาคมฟุตบอลสกอตแลนด์และทีมชาติต่างยืนหยัดเคียงข้างพวกเขาตั้งแต่ต้น สิ่งที่เราได้เห็นนั้นมันเป็นเรื่องที่เลวร้ายเกินจะกล่าว” แบ็กซ้ายจากทีมลิเวอร์พูลกล่าว

“แต่ใน 90 นาที หรือ 120 นาทีจากนี้ มันเป็นสิ่งที่เราต้องแยกแยะ เราก็อยากไปฟุตบอลโลก และเราต้องพร้อมสำหรับความท้าทายและอารมณ์ที่ทีมชาติยูเครนจะกระหน่ำมา”

หากคิดย้อนกลับไป 3 เดือนนับจากที่สงครามเริ่มต้น ผู้เล่นในทีมชาติทุกคนต้องพรากจากคนที่รักและครอบครัว บ้างต้องหลบหนีไปต่างประเทศ บ้างตัดสินใจอยู่ในบ้านอย่างเด็ดเดี่ยว บ้างสูญเสียญาติมิตรและผองเพื่อนจากสงคราม