‘ปูติน’ ส่งสัญญาณพร้อมคุยกรณียูเครน หวังคลี่คลายวิกฤต นักวิเคราะห์ห่วงหากเกิดสงครามจริงส่อทำตลาดหุ้นดิ่งหนัก

‘วลาดิเมียร์ ปูติน’ ส่งสัญญาณพร้อมเจรจาลดขัดแย้งกรณีรัสเซีย-ยูเครน ด้านนักวิเคราะห์ประเมิน หากรัสเซียบุกยูเครนจริงตลาดหุ้นส่อดิ่งหนักกลายเป็นวิกฤตตลาดรอบใหม่ ขณะราคาน้ำมันส่อพุ่งแรงกระทบผู้บริโภค

กลายเป็นสถานการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ตึงเครียดมากขึ้นเรื่อยๆ กรณีขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครน ที่ล่าสุด สหรัฐฯ ถึงกับออกโรงเตือนว่ารัสเซียอาจบุกยูเครนภายในไม่กี่วันนี้ เล่นเอาบรรดาผู้นำในหลายประเทศโดยเฉพาะในภูมิภาคยุโรปรู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ ไปตามๆ กัน

อย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย กลับส่งสัญญาณแสดงท่าทีที่ค่อนข้างชัดเจน ว่ารัสเซียไม่ได้แสวงหาสงครามหรือใช้ความแข็งกร้าวในการจัดการปัญหาในครั้งนี้ ตรงกันข้าม รัสเซียต้องการใช้หนทางสันติวิธีเพื่อคลี่คลายความขัดแย้งที่เกิดขึ้น

ทั้งนี้ เว็บไซต์สำนักข่าว Bloomberg รายงานอ้างอิงแถลงการณ์ของทำเนียบเครมลินที่ระบุว่า ประธานาธิบดีปูตินได้อนุมัติในหลักการของแนวทางการตอบสนองของทางกระทรวงการต่างประเทศรัสเซียที่มีต่อข้อเรียกร้องด้านความมั่นคงจากสหรัฐและชาติตะวันตกก่อนหน้านี้

โดย เซอร์เก ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย กล่าวต่อประธานาธิบดีปูตินว่า รัสเซียควรดำเนินการเจรจากับสหรัฐฯ และชาติตะวันตกต่อไปเกี่ยวกับข้อเรียกร้องด้านความมั่นคงของรัสเซีย ท่ามกลางสถานการณ์ตึงเครียดในยูเครนและรัสเซียยังคงมีโอกาสที่จะบรรลุข้อตกลงด้านความมั่นคงกับชาติตะวันตก

รายงานระบุว่า ท่าทีและความเห็นของลาฟรอฟ บวกกับความเห็นชอบจากผู้นำประเทศ เป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่ารัสเซียจะยังคงใช้แนวทางการทูตในการคลี่คลายวิกฤตการณ์ยูเครน แม้สหรัฐฯ จะออกมาเตือนเมื่อไม่กี่วันก่อนว่ารัสเซียอาจทำการโจมตียูเครนได้ทุกเมื่อ ซึ่งรัฐบาลรัสเซียก็โต้กลับว่า เป็นคำเตือนและความหวาดกลัวที่ไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของความจริงใดๆ

ทั้งนี้ สถานการณ์ระหว่างรัสเซียกับยูเครนเริ่มตึงเครียดมากขึ้น หลังจากที่รัสเซียยื่นข้อเรียกร้องต่อสหรัฐฯ และชาติตะวันตกเพื่อให้มีการรับประกันว่า องค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ หรือ NATO จะไม่รับยูเครนและประเทศซึ่งเคยอยู่ในอดีตสหภาพโซเวียตเข้าเป็นสมาชิกขององค์การ อีกทั้งสหรัฐฯ และพันธมิตรจะต้องถอนกำลังทหารออกจากกลุ่มประเทศอดีตสหภาพโซเวียตด้วย แต่ทางสหรัฐฯ กับ NATO ยืนกรานปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าว

รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซียกล่าวว่า รัสเซียควรเดินหน้าเจรจาต่อไป เพราะถึงแม้จะปฏิเสธข้อเสนอของรัสเซีย แต่สหรัฐฯ ก็ยื่นข้อเสนอที่มีผลดีต่อรัสเซียเช่นกัน เช่น จำกัดการติดตั้งขีปนาวุธในยุโรป และลดขนาดการซ้อมรบ

รายงานระบุว่า ประธานาธิบดีปูตินได้กล่าวเห็นด้วยกับข้อเสนอของลาฟรอฟเมื่อวานนี้ (14 กุมภาพันธ์) ว่ารัสเซียจะเดินหน้าคุยกับสหรัฐฯ และชาติพันธมิตรตราบใดที่ฝ่ายตรงข้ามให้หลักประกันด้านความมั่นคงปลอดภัยตามที่รัสเซียต้องการ

หลังจากที่ประกาศเห็นชอบกับแนวทางเจรจาของรัฐมนตรีต่างประเทศเพียงไม่นาน เซอร์เกย ชอยกู (Sergei Shoigu) รัฐมนตรีกลาโหมรัสเซียได้ออกมาเปิดเผยว่า ทางกองทัพได้ยุติการซ้อมรบบางส่วนแล้ว และที่เหลืออีกส่วนหนึ่งกำลังจะยุติลงในเร็วกัน แม้จะไม่ได้กำหนดเวลาถอนทหารที่แน่ชัด แต่มีรายงานว่า ทหารจะกลับคืนสู่ฐานที่มั่นทั้งหมดในทันทีที่การซ้อมรบสิ้นสุดลง

ท่าทีดังกล่าวสอดรับกับการร้องขอของสหรัฐฯ ก่อนหน้านี้ ที่ต้องการให้รัสเซียถอนทหาร 130,000 นายออกจากพรมแดนที่ติดกับยูเครน โดยหลายฝ่ายเชื่อว่าจำนวนทหารดังกล่าวเป็นจำนวนทหารที่รัสเซียอ้างว่าส่งไปซ้อมรบ และการสั่งยุติการซ้อมรบของรัฐมนตรีกลาโหมรัสเซียก็น่าจะถือเป็นการตอบรับข้อเรียกร้องของสหรัฐฯ และยืนยันจุดยืนที่ต้องการใช้แนวทางทางการทูตของรัสเซียในการยุติปัญหายูเครน

ห่วงรัสเซียบุกยูเครนทำตลาดหุ้นดิ่งหนัก

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์อีกส่วนหนึ่งก็ออกมาคาดการณ์ถึงผลกระทบในกรณีที่เลวร้ายที่สุดหากว่ารัสเซียกับสหรัฐฯ และชาติพันธมิตรไม่สามารถแก้ปมขัดแย้งกรณียูเครนบนเวทีเจรจาได้ โดยสถานีโทรทัศน์ CNN ระบุว่า ถ้ารัสเซียตัดสินใจบุกยูเครน ตลาดหุ้นทั่วโลกจะดิ่งลงอย่างหนักในทันที และกลายเป็นเป็นวิกฤตตลาดที่หนักหน่วงยิ่งกว่าความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์อื่นๆ ที่เคยเกิดขึ้นมาในอดีตในรอบหลายสิบปี

เหตุผลเพราะการบุกยูเครนของรัสเซียจะส่งผลต่อปริมาณซัพพลายน้ำมันดิบในตลาด ดันให้ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นอีกโดยมีสิทธิ์แตะ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จากราคาในปัจจุบันที่พุ่งทะลุ 90 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ทำสถิติสูงสุดในรอบ 7 ปี

ราคาน้ำมันที่แพงขึ้นย่อมส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคในตลาดที่ต้องแบกรับภาวะของแพง เพราะน้ำมันคือต้นทุนที่แฝงอยู่ในทุกกระบวนผลิตสินค้าและบริการ บีบให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ และธนาคารกลางในหลายประเทศทั่วโลกต้องเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดหรือบรรเทาความร้อนแรงของเงินเฟ้อ

อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางเศรษฐกิจที่เพิ่งจะฟื้นตัวจากวิกฤตไวรัสโควิดระบาด การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่มากเกินไปและเร็วเกินไป ก็เสี่ยงทำให้การขยายตัวเติบโตของเศรษฐกิจที่ยังไม่แข็งแรงพอมีอันต้องสะดุดล้มไปได้ทุกเมื่อ ยิ่งเมื่อบวกกับการที่ชาติตะวันตกขู่จะคว่ำบาตรรัสเซีย ก็ยิ่งไม่เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจโลกโดยรวม

ทั้งนี้ ที่ผ่านมานักลงทุนในตลาดสามารถมองข้ามความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดระหว่างภูมิรัฐศาสตร์ว่าเป็นเรื่องขัดแย้งที่ไม่เกี่ยวข้องกับตลาด แต่ไม่ใช่สำหรับกรณีของรัสเซียกับยูเครน เนื่องจากมีผลกระทบเกี่ยวกับซัพพลายและดีมานด์ของน้ำมันเข้ามาเกี่ยวข้อง

ย้อนสถิติดัชนี S&P 500 ร่วงเพียง 1% หลังเกิดเหตุปะทะ

แซม สโตวอลล์ (Sam Stovall) หัวหน้านักกลยุทธ์การลงทุนแห่ง CFRA Research กล่าวถึงการวิเคราะห์ปฏิกิริยาของตลาดต่อสถานการณ์ทางการทหารและการก่อการร้าย 24 ครั้งหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา พบว่า ดัชนี S&P 500 ปรับตัวร่วงลงเพียง 1% เท่านั้น ต่อข่าวการโจมตีดทางทหารหรือการก่อการร้ายใหญ่ๆ และแต่ละครั้งใช้เวลาเฉลี่ย 52 วัน ในการที่ตลาดจะฟื้นกลับสู่ภาวะปกติ

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์รัสเซียกับยูเครนในครั้งนี้ต่างออกไป เนื่องจากมีน้ำมันที่ส่งผลต่อภาวะเงินเฟ้อเข้ามาเกี่ยวข้อง อีกทั้งตลาดทั่วโลกในขณะนี้ค่อนข้างเปราะบางและอ่อนไหวต่อภาวะเงินเฟ้อ ดังนั้นผลกระทบจากเหตุการณ์ในครั้งนี้จึงกระจายไปยังเศรษฐกิจทั่วโลกในวงกว้าง

ความวิตกดังกล่าวสอดคล้องกับท่าทีของสมาชิกกลุ่มอุตสาหกรรมชั้นนำทั้ง 7 ประเทศ หรือกลุ่ม G7 ที่ออกมาเตือนว่า รัสเซียจะต้องเผชิญมาตรการแทรกแซงทางเศรษฐกิจอย่าง ‘หนักหน่วง’ หากบุกยูเครนจริง

แถลงการณ์ของกลุ่ม G7 ระบุชัดว่า การเสริมกำลังทางทหารของรัสเซียตามแนวชายแดนยูเครนเป็นสาเหตุที่ทำให้ G7 วิตกกังวลอย่างมาก และชาติสมาชิก 7 ประเทศอย่าง อังกฤษ แคนาดา ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี ญี่ปุ่น และสหรัฐฯ ก็พร้อมที่จะจับมือกันในการแก้ปัญหาเพื่อปกป้องอธิปไตย ตลอดจนเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการเงินของตนเอง

ขณะเดียวกัน แม้ว่า G7 จะให้ความสำคัญกับการลดความตึงเครียดเป็นอันดับแรกสุด แต่ G7 ก็พร้อมที่จะกำหนดมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจและการเงินอย่างหนักหน่วงทันทีต่อรัสเซียเช่นกัน

อ้างอิง:

ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH

Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP