องค์การอนามัยโลก (WHO) ออกแถลงการณ์วานนี้ (27 มกราคม) ว่า กำลังตรวจสอบกรณี ทาเคชิ คาไซ ผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชียของ WHO ถูกร้องเรียนว่า รังแกเจ้าหน้าที่และใช้ถ้อยคำที่เหยียดเชื้อชาติ อีกทั้งยังปล่อยให้ข้อมูลลับที่มีความละเอียดอ่อนเกี่ยวกับวัคซีนหลุดไปถึงญี่ปุ่น
ท่าทีของ WHO มีขึ้นหลังจากที่สำนักข่าว AP รายงานข่าวข้อร้องเรียนที่มีต่อคาไซ โดยระบุว่า ข้อกล่าวหาทั้งหมดถูกเขียนในข้อร้องเรียนภายในเมื่อเดือนตุลาคม และในอีเมลฉบับหนึ่งที่ถูกส่งเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งผู้ส่งคือเจ้าหน้าที่ของ WHO รายหนึ่งที่กังวลต่อการกระทำของผู้บริหารระดับสูง
ข้อความร้องเรียนในอีเมลระบุว่า สไตล์การทำงานที่ออกแนว ‘เผด็จการ’ ของคาไซ ส่งผลให้เจ้าหน้าที่หลักที่ทำงานให้ WHO ลาออกไปมากกว่า 55 คนในช่วง 1 ปีครึ่งที่ผ่านมา และส่วนใหญ่ไม่มีการรับใครเข้ามาทำงานแทน
ขณะที่คาไซถูกกล่าวหาว่า “พูดจาเหยียดผิวและดูหมิ่นพนักงานบางสัญชาติ” และสร้าง “บรรยากาศที่เป็นพิษด้วยวัฒนธรรมการกลั่นแกล้งอย่างเป็นระบบและการเยาะเย้ยในที่สาธารณะ”
นอกจากนี้คาไซ ซึ่งเป็นอดีตแพทย์จากญี่ปุ่นที่ทำงานให้กับ WHO มา 15 ปี ยังถูกกล่าวหาว่า แบ่งข้อมูลเกี่ยวกับวัคซีนที่เป็นความลับแก่รัฐบาลญี่ปุ่น เพื่อช่วยให้ญี่ปุ่นได้รับความนิยมทางการทูตจากการบริจาควัคซีนโควิดแก่ประเทศเพื่อนบ้าน
อย่างไรก็ตาม คาไซ ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการภูมิภาคแปซิฟิกตะวันตกและประจำในกรุงมะนิลาของฟิลิปปินส์ ยอมรับผ่านแถลงการณ์ว่า ได้เข้มงวดกับเจ้าหน้าที่ แต่ปฏิเสธข้อกล่าวหาเรื่องการเหยียดเชื้อชาติหรือแบ่งปันข้อมูลลับแก่ญี่ปุ่น และยืนยันว่า กำลังพิจารณาแนวทางในการปรับปรุงสไตล์การบริหารงานและสภาพแวดล้อมในการทำงาน
“เป็นความจริงที่ผมเข้มงวดอย่างหนักต่อเจ้าหน้าที่ แต่ผมปฏิเสธข้อบ่งชี้ที่ว่า ผมเพ่งเล็งเจ้าหน้าที่ชาติใดชาติหนึ่งเป็นพิเศษ การเหยียดเชื้อชาติขัดต่อหลักการและค่านิยมทั้งหมดที่ผมเคารพ ในฐานะบุคคลและข้าราชการพลเรือนระหว่างประเทศ และตลอดชีวิตและอาชีพการทำงานของผม” คาไซกล่าว
ซึ่งเขาระบุว่า “รับทราบข้อกังวลเกี่ยวกับสไตล์การบริหารงานและวัฒนธรรมการทำงานใน WHO ภูมิภาคแปซิฟิกตะวันตกอย่างจริงจัง” และให้คำมั่นว่า จะรับฟังข้อกังวลของเจ้าหน้าที่ด้วยความระมัดระวัง อีกทั้งจะไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนเกี่ยวกับการปรับปรุงสไตล์การทำงานของเขาและสภาพแวดล้อมในการทำงานสำหรับเจ้าหน้าที่ทุกคน ทั้งในตอนนี้และในอนาคต
ภาพ: Photo by Fabrice Coffrini / AFP
อ้างอิง:
