เว็บไซต์ข่าว Bloomberg เปิดเผยผลสำรวจความเห็นของบรรดาลูกจ้างในตำแหน่งผู้บริหารระดับสูง และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) เกี่ยวกับแนวโน้มงานในปี 2022 พบว่า 72% ของซีอีโอต่างวิตกว่าตนเองอาจเสี่ยงตกงานในปีหน้า เพราะภาวะดิสรัปต์ให้ต้องมีการปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่
โดยความกังวลดังกล่าวมีขึ้นเพียงไม่นานหลังมีรายงานความเห็นเจ้าของธุรกิจถึง 94% ที่ยอมรับว่าจำเป็นต้องมีการปรับโมเดลธุรกิจในช่วง 3 ปีข้างหน้า เพื่อให้อยู่รอดกับสถานการณ์เศรษกิจในปัจจุบันที่กำลังก้าวเข้าสู่ยุคดิจิทัล
ไซมอน ฟรีคลีย์ (Simon Freakley) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) ของ อลิกซ์ พาร์ตเนอร์ (Alix Partner) บริษัทที่ปรึกษาด้านการบริหารจัดการ ซึ่งจัดทำการสำรวจในครั้งนี้กล่าวว่า ความเห็นเรื่องตกงานเป็นตัวเลขที่สูงจนน่าจับตามอง โดยภาวะดิสรัปต์ที่ว่านี้ หมายรวมถึงปัญหาหยุดชะงักในห่วงโซ่อุปทานและการขาดแคลนแรงงาน
รายงานระบุว่า แต่เดิมเหล่าผู้บริหารระดับสูง โดยเฉพาะในบริษัทเอกชนที่มักจะบอกเลิกจ้างแบบฟ้าผ่าพร้อมเงินชดเชยก้อนใหญ่ได้ง่ายๆ มักจะกังวลเรื่องตกงานมากเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่ความกังวลดังกล่าวพุ่งสูงขึ้นอย่างมากเมื่อเทียบกับปี 2020 ที่อยู่ที่ 52%
โดยการสำรวจครั้งนี้ ทาง อลิกซ์ พาร์ตเนอร์ ได้สอบถามความเห็นซีอีโอและผู้บริหารระดับกรรมการบริษัทขึ้นไปถึง 3,000 คน ครอบคลุม 10 อุตสาหกรรมหลัก ซึ่งครึ่งหนึ่งของผู้เข้าร่วมมีรายได้มากกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี และการสำรวจกระจายไปทั่วทุกภูมิภาคของโลก ไม่วาจะเป็นที่อเมริกาเหนือ ยุโรป ตะวันออกกลาง ตะวันออก และเอเชียแปซิฟิก
ด้านปัญหาที่น่าหนักใจมากที่สุด ซีอีโอลงความเห็นว่าเป็นเรื่องของห่วงโซ่การผลิต การขาดแคลนแรงงาน และการเปลี่ยนผ่านสู่โลกเศรษฐกิจดิจิทัล ขณะที่ในส่วนของสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด บรรดาซีอีโอเชื่อว่า การระบาดจะคลี่คลายไปในทางบวก และไม่ใช่ประเด็นที่ซีอีโอส่วนใหญ่ให้ความสำคัญอีกต่อไป มีเพียง 3% ของผู้เข้าร่วมการสำรวจเท่านั้นที่เห็นว่าประเด็นเรื่องโควิดยังน่าเป็นห่วง
ฟรีกลีย์ให้สัมภาษณ์อธิบายถึงความกังวลตกงานของซีอีโอทั้งหลายว่า เกิดจากการที่บรรดาเจ้าของธุรกิจที่สามารถเอาตัวรอดจากการระบาดครั้งใหญ่มาได้ต่างเริ่มตระหนักว่า โมเดลธุรกิจแบบเดิมที่ทำให้เติบโตมาได้หลายสิบปีไม่สามารถใช้งานได้อีกต่อไป ดังนั้น แทนที่จะยืนหยัดต้านทานกระแส เจ้าของธุรกิจเริ่มพิจารณาถึงการปรับโครงสร้างองค์กรให้มีความคล่องตัวและยืดหยุ่น ซึ่งครอบคลุมถึงการตัดลดยุบรวมบางแผนก เพื่อให้องค์กรสามารถเติบโตต่อไปได้
อย่างไรก็ตาม ความกังวลดังกล่าวยังไม่มีหลักฐานเชิงประจักษ์ที่เด่นชัด เพราะจนถึงขณะนี้ บรรดาซีอีโอในสหรัฐฯ ที่ออกจากตำแหน่ง ไม่ว่าจะด้วยการให้ออก เกษียณอายุงาน หรือเปลี่ยนงาน ในช่วงเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นเพียง 1.1% เท่านั้นเมื่อเทียบกับช่วงเดือนเดียวกันในปีก่อนหน้า ตามผลการศึกษาของทีมนักวิจัยของ Challenger, Gray & Christmas
ผลการสำรวจกลับพบข้อยกเว้นในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีที่บรรดาซีอีโอต่างลาออกมากขึ้นถึง 17% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยเฉพาะในช่วงเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน ที่มีซีอีโอลาออกถึง 162 คน เมื่อเทียบกับปีก่อนที่ลาออก 126 คน โดยซีอีโอรายใหญ่ที่ลาออกในปีนี้ หมายรวมถึง เจฟฟ์ เบโซส์ แห่ง Amazon และ แจ็ค ดอร์ซีย์ แห่ง Twitter
อ้างอิง:
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP