ปัญหาการเกิดฝ้า กระ จุดด่างดำ รอยแดง หลุมสิวบนใบหน้า ไม่เพียงกวนใจและทำให้สูญเสียความมั่นใจ แต่ยังอาจเป็นปัญหาผิวเรื้อรังที่รักษาให้หายขาดยาก ดังนั้นหากมีตัวช่วยที่สามารถลดเลือนริ้วรอย รักษาและป้องกันปัญหาผิวบนใบหน้าจากต้นเหตุได้ จะไม่เป็นเพียงแค่การคืนความมั่นใจเท่านั้น แต่ยังช่วยดูแลผิวให้แข็งแรงในระยะยาวได้ด้วย THE STANDARD POP จึงขอชวนสาวๆ ไปไขข้อข้องใจถึงวิธีดีๆ ล้ำๆ ที่จะป้องกันสารพัดปัญหาผิวต่างๆ ดังที่กล่าวมา ให้ถูกเบรกและป้องกันไว้ก่อนตั้งแต่แรกเริ่ม โดยผู้ที่จะมาให้คำตอบคือ พญ.กาญจนา เสริมสวรรค์ ผู้อำนวยการศูนย์ผิวหนังและความงาม จากโรงพยาบาลกรุงเทพ
ปัญหาผิวพรรณแบบไหนที่พบบ่อยที่สุดในผู้หญิง
พญ.กาญจนา: ปัญหาฝ้า ถือว่าเป็นปัญหาผิวพรรณที่พบได้มากในผู้หญิง แม้จะไม่ใช่โรคอันตราย แต่ทำให้ผู้หญิงหลายคนหมดความมั่นใจได้ โดยฝ้าสามารถเกิดได้จากหลายปัจจัย เช่น ผิวหนังมีการผลิตเซลล์เม็ดสีมากเกินไป เยื่อบุรองฐานของผิวหนังถูกทำลาย มีการเพิ่มจำนวนของเส้นเลือดที่ผิดปกติ และมีการเพิ่มขึ้นของเซลล์ไฟโบรบลาสต์ที่เริ่มชรา ฯลฯ หากเกิดฝ้าแล้วไม่รีบหาทางหยุดฝ้าหรือป้องกัน ก็ยากที่จะรักษาให้หายขาดได้
การรักษาฝ้าที่ดีที่สุดในปัจจุบันมีวิธีใดบ้าง
พญ.กาญจนา: ปัจจุบันโรงพยาบาลของเรามีการใช้เครื่อง Sylfirm เป็นเทคโนโลยีที่ผ่านการค้นคว้าวิจัยโดย Silicon Valley ประเทศสหรัฐอเมริกา และมีการตีพิมพ์ในวารสารทางการแพทย์ โดยหลักการทำงานของเครื่องจะเป็นการปล่อยคลื่นวิทยุขนาดเล็กแบบ Sr3 (Rp) Technology (Selective Regional Regenerative Rf) เป็นช่วงๆ เลือกตำแหน่งเนื้อเยื่อและความลึกที่ต้องการได้ เพื่อเข้าไปทำลายเส้นเลือดผิดปกติใต้ผิวหนัง ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของความผิดปกติของเม็ดสีและการกลับมาเป็นซ้ำของฝ้า จึงสามารถช่วยแก้ปัญหาฝ้าและป้องกันการเกิดฝ้าใหม่ได้ อีกทั้งยังกระตุ้นคอลลาเจน ลดการส่งเม็ดสีจากผิวหนังส่วนบนสู่ผิวหนังส่วนล่าง ลดริ้วรอย ลดแผลเป็นหลุมสิว กระชับรูขุมขน ผิวแข็งแรงดูอ่อนเยาว์ขึ้น โดยจะต้องทำตามคำแนะนำของแพทย์ ประมาณ 3-12 ครั้ง ขึ้นอยู่กับปัญหาผิวของแต่ละบุคคล ข้อดีของการรักษาด้วยคลื่นวิทยุขนาดเล็กนี้สามารถป้องกันการกลับมาเกิดฝ้าซ้ำ ลดการเกิดรอย หากทำการรักษาอย่างต่อเนื่องจะช่วยลดรอยโรคจากเส้นเลือด รอยแดง ทำให้รอยสิวจางลง
การรักษาด้วยคลื่นวิทยุขนาดเล็กต้องใช้ระยะเวลานานแค่ไหนจึงจะเริ่มเห็นผล
พญ.กาญจนา: หลังจากทำการรักษาอย่างต่อเนื่อง 3 ครั้งขึ้นไป รอยแผลเป็น หลุมสิวตื้นขึ้น ริ้วรอยจะลดลง โดยเฉพาะริ้วรอยใต้ตา ทำให้ผิวกระจ่างใส ผิวหน้าเรียบเนียน รูขุมขนเล็กลง ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล เหมาะกับผิวแพ้ง่าย เจ็บน้อย พักฟื้นสั้น ผลข้างเคียงน้อย สามารถรักษาร่วมกับเทคโนโลยีอื่นได้ในวันเดียวกัน
วิธีดูแลผิวหลังจากการรักษาด้วยคลื่นวิทยุขนาดเล็กเป็นอย่างไร
พญ.กาญจนา: หลังการรักษาควรมีการดูแลผิวหน้าอย่างต่อเนื่อง ด้วยการประคบเย็นหรือมาสก์หน้าเพื่อบรรเทาอาการระคายเคืองทันทีหลังการรักษา สามารถทำความสะอาดผิวได้ 1 วันหลังทำการรักษาแบบใช้พลังงานสูง และ 4 ชั่วโมง หลังทำการรักษาทั่วไป ห้ามใช้ผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิวหรือสครับประมาณ 2 สัปดาห์ ทาครีมบำรุงที่ให้ความชุ่มชื้น 2-3 ครั้งต่อวัน เลี่ยงแสงแดดและทาครีมกันแดดที่มี SPF มากกว่า 30 วันละ 2-3 ครั้ง ควรเลี่ยงการรักษาด้วยแสง 2 สัปดาห์ เลี่ยงเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ 1 สัปดาห์ อย่าถูหรือทำให้ระคายเคืองบริเวณที่รักษา ทายาตามที่แพทย์สั่งอย่างต่อเนื่อง งดออกกำลังกาย ว่ายน้ำ แช่น้ำร้อน ซาวน่า 1-2 สัปดาห์ และควรเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือสูบบุหรี่ 1-2 สัปดาห์ อย่างไรก็ตาม จะมีข้อห้ามของผู้ป่วยบางกลุ่มที่ไม่สามารถทำการรักษาด้วยเครื่อง Sylfirm ได้ เช่น ผู้ป่วยที่มีเครื่องกระตุ้นหัวใจเทียม เครื่องกระตุกหัวใจไฟฟ้า อุปกรณ์ไฟฟ้าอื่นๆ ฝังในร่างกาย ผู้ป่วยมะเร็ง ผู้ป่วยโรคหัวใจ ผู้ที่ตั้งครรภ์หรืออยู่ระหว่างให้นมบุตร ผู้ป่วยเบาหวานหรือมีความผิดปกติของต่อมไร้ท่อ ผู้ป่วยที่มีการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ ผู้ที่บริโภคหรือฉีดยาต้านการแข็งตัวของเลือดในช่วง 10 วันที่ผ่านมา
ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้หลังการรักษาด้วยคลื่นวิทยุขนาดเล็ก
พญ.กาญจนา: โดยหลังการรักษาอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้ เช่น ผื่นแพ้ บวม แดงร้อน ผิวไหม้ สิว รูขุมขนอักเสบ ลมพิษ ตกสะเก็ด ผิวแห้งลอก หากมีอาการเหล่านี้เกิดขึ้นแนะนำให้ปรึกษาแพทย์เฉพาะทางทันที และควรเข้ารับบริการกับโรงพยาบาลที่ได้มาตรฐานเพื่อผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ
ภาพ: Bangkok Hospital