×

ครึ่งปีแรกทำผลงานได้ดี แผนครึ่งปีหลัง ‘เอพี ไทยแลนด์’ ประกาศนำแบรนด์ ‘บ้านกลางกรุง’ มาปัดฝุ่นอีกครั้ง เจาะกลุ่ม Super Luxury วางราคาขาย 35-60 ล้านบาท

15.07.2021
  • LOADING...
บ้านกลางกรุง

ถึงแม้ในภาพรวมของเศรษฐกิจจะยังต้องฝ่าฟันกับวิกฤตโควิดที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค แต่สำหรับ ‘เอพี ไทยแลนด์’ พบว่ายอดขาย-ยอดโอนครึ่งปีแรก 2564 ทำนิวไฮสูงสุดท่ามกลางกระแสคลื่นวิกฤตที่โหมหนัก

 

วิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์องค์กรและการสร้างสรรค์ บมจ.เอพี ไทยแลนด์ กล่าวว่า ครึ่งปีแรก 2564 มียอดขายมากถึง 17,817 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 18% หากเทียบกับครึ่งปีก่อนหน้า โดยเฉพาะกลุ่มบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮมที่เติบโตแบบก้าวกระโดด ส่งผลให้ภาพรวมสินค้าแนวราบในครึ่งปีแรกเติบโตขึ้นกว่า 28% โดยเฉพาะไตรมาส 2 เพียงไตรมาสเดียวสินค้าแนวราบมียอดขายสูงกว่า 9,100 ล้านบาท ด้านยอดโอนครึ่งปีแรกคาดว่าจะสูงกว่า 20,000 ล้านบาท

 

สำหรับครึ่งปีหลัง 2564 เอพีเตรียมรุกการพัฒนาโครงการไปในเซกเมนต์ใหม่ด้วยการขยับขึ้นตลาดบนในระดับ Super Luxury โดยจะนำแบรนด์ ‘บ้านกลางกรุง’ กลับมาพัฒนาอีกครั้ง นำร่องโครงการแรกกับ บ้านกลางกรุง สาธุประดิษฐ์-พระราม 3 ทั้งโครงการมี 13 ยูนิต วางราคาเริ่ม 35-60 ล้านบาท ซึ่งพร้อมจัดงาน Pre-Sale ในเดือนกันยายนนี้

 

นอกจากนั้นแล้ว ในสินค้ากลุ่มคอนโดมิเนียมเตรียมขยายโปรดักต์ไปยังตลาดแมสมากยิ่งขึ้น ด้วยการปรับโฉมแบรนด์ Aspire (แอสปาย) ซึ่งนอกจากการออกแบบและตกแต่งแล้ว ยังเตรียมปรับราคาขายให้สอดรับกับกลุ่มเป้าหมาย โดยวางราคาเริ่มต้นประมาณ 55,000-65,000 บาทต่อตารางเมตร ซึ่งในครึ่งปีหลังนี้จะเปิดตัว 2 โครงการได้แก่ Aspire รัตนาธิเบศร์-เวสต์ตัน และ Aspire ปิ่นเกล้า-อรุณอมรินทร์

 

“เราทุกคนยังคงต้องวนเวียนอยู่ในระลอกคลื่นของความเสียหายที่มีโควิดเป็นศูนย์กลาง ซึ่งการระบาดระลอกใหม่ก็พิสูจน์ให้เห็นว่าเรายังไม่สามารถหลุดออกจากคลื่นนี้ได้จริงๆ สำหรับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์แล้ว หัวใจสำคัญที่มีผลต่อการขับเคลื่อนธุรกิจคือ ภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศ ถ้าเศรษฐกิจประเทศดี อสังหาริมทรัพย์ก็จะดีตามการ จ้างงาน กำลังซื้อ ความเชื่อมั่นผู้บริโภคก็จะตามมาหมด” วิทการ กล่าว

 

ภาพรวมครึ่งปีหลัง เอพีเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งสิ้น 26 โครงการ มูลค่ารวม 33,440 ล้านบาท เป็นโครงการแนวราบจำนวน 22 โครงการ มูลค่าประมาณ 20,440 ล้านบาท และคอนโดมิเนียม 4 โครงการ มูลค่าประมาณ 13,000 ล้านบาท

 

อย่างไรก็ตาม วิทการ ย้ำว่า ความท้าทายของภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทยจากนี้ไปมี 3 ข้อที่ต้องจับตามอง เรื่องแรกคือการฟื้นตัวของความเชื่อมั่นผู้บริโภคในประเทศ ซึ่งวัคซีนถือเป็นตัวแปรสำคัญ สอง มาตรการต่างๆ จากทางภาครัฐที่จะเข้ามาช่วยกระตุ้นให้เกิดกำลังซื้อหลังจากความเชื่อมั่นเริ่มกลับมา และสุดท้ายแผนการเปิดประเทศ ที่นำมาซึ่งกำลังซื้อที่เป็นเซนติเมนต์ที่ดีให้กับตลาดคอนโดมิเนียม 

 

“ทั้ง 3 ข้อนี้คงต้องใช้เวลานานพอสมควร ถ้าถามว่าจุดต่ำสุดที่เราเจอกันในวันนี้จะจบสิ้นลงเมื่อไร ไม่มีใครตอบได้ ภาคธุรกิจและเราทุกคนยังคงต้องเตรียมตัวให้พร้อม เพื่อเผชิญกับระลอกคลื่นที่จะเกิดขึ้นอีกกี่ครั้งนับไม่ถ้วนอย่างที่เราเจอกันอยู่ในทุกวันนี้” วิทการ กล่าว

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising