นับตั้งแต่อิตาลีถล่มตุรกี 3-0 ในนัดเปิดสนาม ทุกค่ำคืนในยูโร 2020 ต้องมีการทำประตูอย่างน้อย 3 ลูกเสมอ ไม่เว้นแม้กระทั่งในค่ำคืนที่ผ่านมา แม้ว่าประตูที่เกิดขึ้นในคืนที่ 8 ของทัวร์นาเมนต์อาจจะดูน้อยไปบ้างเพียงแค่ 3 ประตู แต่โดยรวมแล้วการแข่งขันในครั้งนี้ก็มีการทำประตูค่อนข้างเยอะอยู่ดี โดยสามประตูที่เกิดขึ้นเกิดจากการแข่งขัน 2 เกมได้แก่ คู่เวลา 20.00 น. สวีเดนชนะสโลวะเกีย 1-0 และคู่เวลา 23.00 น. โครเอเชียเสมอสาธารณรัฐเช็ก 1-1 ส่วนในคู่ดึก เวลา 02.00 น. ซึ่งอังกฤษเสมอสกอตแลนด์ 0-0 เป็นคู่เดียวที่ไม่มีประตู
อังกฤษ ฟอร์มน่าผิดหวัง แต่พวกเขาอาจจะสมหวัง
การเสมอกับสกอตแลนด์ 0-0 ในเวมบลีย์ ถือเป็นเรื่องที่หายากสำหรับทีมชาติอังกฤษในยุคของ แกเร็ธ เซาท์เกต ก็ว่าได้ โดยเกมสุดท้ายที่พวกเขาเสมอด้วยสกอร์นี้ ต้องย้อนกลับไปในเกมพบกับเดนมาร์ก เมื่อวันที่ 9 กันยายนปีที่แล้ว และถ้านับสถิติเฉพาะในสนามนิว เวมบลีย์ แล้ว ทัพ ‘สิงโตคำราม’ เสมอด้วยสกอร์นี้เป็นหนที่ 2 เท่านั้น นับตั้งแต่สนามแห่งนี้สร้างแล้วเสร็จในปี 2007
ปัญหาในเกมนี้ของอังกฤษที่น่าเป็นห่วงยังอยู่ที่การส่งบอลไปไม่ถึง แฮร์รี เคน กองหน้ากัปตันทีม ทำให้เขาแทบไม่ได้แสดงความอันตรายออกมา ทั้งที่เป็นหนึ่งในหัวหอกเกรด A+ ไม่กี่คนในการแข่งขันทัวร์นาเมนต์นี้ โดยเคนได้แตะบอลในกรอบเขตโทษเพียงครั้งเดียวในครึ่งแรก ส่วนครึ่งหลังก็ถูกเปลี่ยนตัวออกในนาทีที่ 74 นับรวมทั้งเกมกองหน้าจากทีม ‘ไก่เดือยทอง’ ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ ได้ง้างเท้ายิงเพียง 2 ครั้งเท่านั้น และหนึ่งในนั้นคือการยิงตรงกรอบครั้งเดียวของอังกฤษในเกมนี้
แม้ฟอร์มการเล่นของอังกฤษน่าเป็นห่วง แต่สกอร์ที่ได้มาน่าจะทำให้ทีมชาติอังกฤษพอใจมากกว่าเสียใจ แน่นอนว่าถ้าชนะคงจะรู้สึกดีใจกว่า แต่ผลเสมอนั้นก็ไม่แย่ เพราะพวกเขาจะขึ้นไปมี 4 คะแนนเท่ากับสาธารณรัฐเช็ก ที่พวกเขาต้องเล่นในเกมสุดท้าย นั่นหมายความว่า ถ้าพวกเขาทั้งสองทีมเล่นแบบระวังตัวกันทั้งคู่ ก็มีโอกาสที่จะจบด้วยผลเสมอ พร้อมกับกอดคอกันเข้ารอบไปแบบไม่ต้องมาลุ้นอะไรอีก
โดยในกรณีที่เกมหน้ากับ ‘เช็กเกีย’ ออกผลเสมอจริง ทั้งสองทีมน่าจะอยู่ในข่ายที่พอใจทั้งคู่ เพราะทางอังกฤษเองก็มีข่าวในระยะหลังว่าอยากจะเข้ารอบในฐานะทีมอันดับที่ 2 ของกลุ่ม D เพื่อหนีการเผชิญหน้ากับทีมจากกลุ่ม F เนื่องด้วยถ้าพวกเขาเข้ารอบในฐานะแชมป์กลุ่มนี้ ก็จะต้องพบกับที่ 2 กลุ่ม F ซึ่งมีโอกาสจะเป็นไปได้ทั้งโปรตุเกส ฝรั่งเศส หรือเยอรมนี แต่ถ้าเข้ารอบในฐานะรองแชมป์กลุ่ม พวกเขาจะได้ไปเจอรองแชมป์กลุ่ม E แทน
ขณะที่สกอตแลนด์ก็ถือเป็นผลการแข่งขันที่ไม่น่าผิดหวังเหมือนกัน เพราะด้วยการเสมอกับอังกฤษ ทำให้พวกเขายังสามารถไปลุ้นเข้ารอบได้ในเกมที่ 3 หากเอาชนะโครเอเชียได้ ซึ่งความได้เปรียบในเกมนั้นคือการที่ทีม ‘วิสกี’ จะได้กลับไปเล่นในแฮมป์เดนพาร์กท่ามกลางเสียงเชียร์ของแฟนๆ อีกครั้ง และถ้าเกิดอังกฤษแพ้สาธารณรัฐเช็กด้วยสกอร์ขาดลอยในนัดสุดท้าย ประกอบกับพวกเขาชนะโครเอเชียได้มากหน่อย สกอตแลนด์ก็อาจจะจบถึงที่ 2 ของกลุ่มได้เลย
อย่างไรก็ตาม สกอตแลนด์ก็ยังมีปัญหาในแดนหน้าไม่ต่างจากเกมแรก การจบสกอร์ที่ไม่เฉียบขาดและขาดความดุดัน ทำให้จนถึงตอนนี้ทีมของพวกเขายังยิงไม่ได้เลยแม้แต่ลูกเดียว และนั่นจะเป็นปัญหาอย่างมากในเกมที่ต้องการชัยชนะในการพบกับโครเอเชีย เพื่อลุ้นเข้ารอบต่อไป
โครเอเชีย ยังไม่เสียโอกาสในการเข้ารอบ
การไล่ตีเสมอสาธารณรัฐเช็กของโครเอเชียก่อนจบเกมด้วยสกอร์ 1-1 ทำให้ทีมยังกำกุญแจสู่รอบต่อไปไว้ในมือได้อยู่ เพราะหากแพ้ในเกมนี้แม้นัดสุดท้ายจะเก็บได้ 3 คะแนนเต็ม ก็ต้องมาลุ้นหนักถึงโควตาการเป็น 1 ใน 4 อันดับ 3 ที่ดีที่สุด แต่พอมามี 1 คะแนนในเกมนี้ ทำให้เพียงแค่คว้าชัยชนะเหนือสกอตแลนด์ได้ ก็จะจบอันดับที่ 3 อย่างแน่นอน แล้วมีโอกาสสูงที่จะได้เป็น 1 ใน 4 อันดับ 3 ที่ดีที่สุดด้วย
อย่างไรก็ตาม โครเอเชียก็อาจจะจบอันดับที่ดีกว่าการต้องมาลุ้นที่ 3 ที่ดีที่สุด แต่อาจจะเป็นเหตุการณ์ที่ต้องยืมจมูกคนอื่นหายใจ เพราะถ้าพวกขาเอาชนะสกอตแลนด์ได้ด้วยสกอร์ถล่มทลาย แล้วอังกฤษสามารถยำใหญ่ใส่สาธารณรัฐเช็กได้ ‘โครแอต’ ก็มีโอกาสจบได้สูงถึงอันดับ 2 ในกลุ่ม D เช่นกัน
ด้านสาธารณรัฐเช็กก็อยู่ในสถานที่คล้ายอังกฤษ เพราะเพียงแค่ 1 คะแนนในเกมพบกับทัพ ‘สิงโตคำราม’ ก็จะพาทั้งคู่กอดคอกันเข้ารอบน็อกเอาต์ทันที และมีโอกาสที่พวกเขาจะเลือกเล่นแบบเซฟตัวเองในเกมนี้ เพราะถ้าเล่นแบบเปิดหน้าแลกกันขึ้นมา ทีมที่แพ้อาจจะถึงกับเก็บของกลับบ้านได้เลย และทางสาธารณรัฐเช็ก ขอแค่เสมอก็จะได้เข้ารอบเป็นแชมป์กลุ่มอยู่แล้ว ไม่มีเหตุผลอะไรให้ต้องเปิดหน้าแลกเพื่อเอาชนะเช่นกัน
ที่น่าสนใจคือฟอร์มการเล่นของ พาทริก ชิก ที่สังเวยจมูกของตัวเองเพื่อทำประตูที่ 3 หลังถูก เดยัน ลอฟเรน ศอกใส่จนได้ลูกที่จุดโทษ และทำให้เขาขึ้นไปรั้งดาวซัลโวแบบเดี่ยวๆ ด้วยการทำ 3 ประตูจาก 2 นัด โดยเขายังกลายเป็นนักเตะสาธารณรัฐเช็ก ที่ยิงประตูมากที่สุดในทัวร์นาเมนต์เดียวนับตั้งแต่ปี 2004 ที่ มิลาน บารอส ทำสถิติไว้ 5 ประตูด้วย
อเล็กซานเดอร์ อิซัค ของดีสวีเดน
อเล็กซานเดอร์ อิซัค คือหนึ่งในนักเตะที่โดดเด่นที่สุดในเกมที่สวีเดนเอาชนะสโลวะเกียอย่างไม่ต้องสงสัย เขาครองบอลได้ดีและพาบอลขึ้นหน้าด้วยความเร็วชนิดที่ทำกองหลังคู่แข่งปั่นป่วน พร้อมกับทำให้แนวรับสโลวักต้องวิ่งไล่ไปทั่วสนาม (ภาษาฟุตบอลเรียกว่า พาทัวร์) เกมนี้อิซัคยังสร้างสถิติกระชากบอลผ่านผู้เล่นสโลวะเกียได้ถึง 6 ครั้งในเกมเดียว กลายเป็นสถิติที่ดีที่สุดในฟุตบอลยูโรครั้งนี้ไปโดยปริยาย
สามคะแนนในเกมนี้ทำให้สวีเดนมีเพิ่มเป็น 4 คะแนน ขึ้นไปนำกลุ่ม E เป็นการชั่วคราว และถ้าสเปนเอาชนะโปแลนด์ไม่ได้ พวกเขาจะอยู่ในสถานะที่ลุ้นการเป็นแชมป์กลุ่มนี้อย่างเต็มตัว และมีโอกาสสูงที่ทัพ ‘ไวกิ้ง’ จะเข้ารอบน็อกเอาต์ได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ฟุตบอลยูโร 2004 แม้ว่าในนัดสุดท้ายพวกเขาต้องเจอกับทีมอย่างโปแลนด์ก็ตาม
ขณะที่ทีมผู้แพ้ในเกมนี้อย่างสโลวะเกียก็ยังไม่ต้องเป็นเดือดเป็นร้อนเกินไป เพราะยังมี 3 คะแนนเหนือโปแลนด์อยู่ในกระเป๋า แม้ความพ่ายแพ้นัดนี้จะดูเสียหายอยู่บ้าง แต่การคว้าชัยมาในนัดที่แล้วได้สำเร็จยังทำให้พวกเขากุมชะตาชีวิตตัวเองได้พอสมควร และยังมีโอกาสเข้ารอบน็อกเอาต์อยู่
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ของทั้งสวีเดนและสโลวะเกียจะชัดเจนขึ้นหลังผลการแข่งขันระกว่างสเปนกับโปแลนด์ ที่จะลงฟาดแข้งในคู่ดึกเวลา 02.00 น. ในค่ำคืนนี้
พิสูจน์อักษร: วรรษมล สิงหโกมล
อ้างอิง:
- https://www.uefa.com/uefaeuro-2020/match/2024461–england-vs-scotland/
- https://www.uefa.com/uefaeuro-2020/match/2024462–croatia-vs-czech-republic/
- https://www.uefa.com/uefaeuro-2020/match/2024464–sweden-vs-slovakia/
- https://www.bbc.com/sport/football/57532509
- https://www.fotmob.com/livescores/3230664/lineup/player-match-card/690107/sweden-vs-slovakia?date=20210618&show=all