Pizza Hut จะปิดสาขาถาวรมากถึง 300 สาขา โดยเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงระหว่างเครือ Yum! Brands และ NPC International แฟรนไชส์ที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา ที่เพิ่งยื่นล้มละลายในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา หลังจากวิกฤตโควิด-19 ค่าแรงและค่าอาหารที่เพิ่มขึ้น ทำให้ต้องแบกภาระหนี้สินกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 3.15 หมื่นล้านบาท
NPC International จะเลือกปิดร้านที่มีประสิทธิภาพต่ำกว่าร้านอื่นๆ อย่างถาวร ส่วนใหญ่จะเป็นร้านที่เปิดให้นั่งทานในร้าน ซึ่งที่ผ่านมา Pizza Hut ได้พยายามดึงดูดความสนใจของลูกค้ามากขึ้น ในการจัดส่งแบบเดลิเวอรีและการซื้อกลับบ้าน ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เร่งตัวขึ้นจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดย Pizza Hut รายงานยอดขายเฉลี่ยสูงสุดรายสัปดาห์ สำหรับการจัดส่งแบบเดลิเวอรีในรอบแปดปีที่ผ่านมาในช่วงเดือนพฤษภาคม
สำหรับพนักงานที่ทำงานในร้านที่ปิดตัวลง จะถูกย้ายไปยังร้านอื่นที่มีประสิทธิภาพดีกว่า โดยตอนนี้ยังไม่ได้ตัดสินใจขั้นสุดท้ายว่าสถานที่ใดจะปิดตัวลงบ้าง ขณะเดียวกัน NPC International ได้บรรลุข้อตกลงกับ Yum! Brands อันเป็นบริษัทแม่ของ Pizza Hut ที่จะขายร้านที่เหลืออีก 927 แห่ง ซึ่งแปลได้ว่าต่อไปนี้ NPC International จะไม่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นแฟรนไชส์รายใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ อีกต่อไป
“ในกรณีที่ NPC ดำเนินการขายธุรกิจ Pizza Hut เป้าหมายของ Pizza Hut คือเพื่อให้แน่ใจว่าเจ้าของใหม่จะทำให้ร้านอาหาร Pizza Hut ของ NPC มีโครงสร้างเงินทุนที่แข็งแกร่ง และมีแนวคิดแบบยืดหยุ่น ที่ต้องการเติบโตพัฒนาต่อไปข้างหน้า” โฆษกของ Pizza Hut กล่าวในแถลงการณ์ต่อ CNBC
NPC International มีร้าน Pizza Hut ในมือ 1,227 สาขา คิดเป็น 20% หรือ 1 ใน 5 ของร้าน Pizza Hut 7,000 สาขาในสหรัฐอเมริกา ขณะเดียวกันยังมีร้าน Wendy’s อีกประมาณ 400 สาขา จากร้านทั้งหมด 6,500 สาขา
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์
อ้างอิง: