×

ถอดบทเรียนที่ วิลเลี่ยม ไฮเน็ค แห่งไมเนอร์ ได้จากวิกฤตโควิด-19 ‘หลากหลาย-รวดเร็ว-เรียนรู้’

09.07.2020
  • LOADING...

การแพร่ระบาดของโควิด-19 ถือเป็นหนึ่งในความท้าทายที่หินที่สุดในการดำเนินธุรกิจ โรคนี้ไม่เพียงคร่าชีวิต แต่ยังดับฝันธุรกิจหลายเจ้า เพราะหลายอุตสาหกรรมทั่วโลกต้องหยุดกิจกรรมทางเศรษฐกิจ เพื่อป้องกันและควบคุมการระบาดของโควิด-19 ทำให้วิกฤตครั้งนี้หนักกว่าวิกฤตเศรษฐกิจครั้งไหนๆ

 

สำหรับไมเนอร์แล้ว วิลเลี่ยม ไฮเน็ค ประธานกรรมการ บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า สถานการณ์โควิด-19 ได้มอบบทเรียนในการประกอบธุรกิจหลายประการให้กับไมเนอร์ ประการแรกคือ ปรับตัวสู่ยุคดิจิทัลเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ไมเนอร์ที่เดิมนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ประกอบการดำเนินธุรกิจอยู่แล้ว ต้องเร่งมือเปลี่ยนแปลงรูปแบบองค์กรอย่างมีกลยุทธ์ โดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามามีส่วนร่วม เพื่อสอดรับกับยุคสมัยที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว 

 

ยิ่งภายใต้วิกฤตการระบาดของโควิด-19 พฤติกรรมของผู้คนเอนเอียงไปทางโลกดิจิทัลที่อำนวยความสะดวกและปลอดภัยต่อการติดโควิด-19 ขณะที่กิจกรรมในชีวิตประจำวันหรือการทำงานบางอย่างเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดโรคได้ แล้วการปรับตัวนี้จะช่วยองค์กรให้ทันตามโลกเศรษฐกิจ ในสถานการณ์ล็อกดาวน์ที่ร้านอาหารไม่สามารถให้บริการในร้านได้ หรือห้างสรรพสินค้าที่ปิดช่วงการระบาดนี้ ก็ทำให้ร้านค้าหลายร้านได้รับผลกระทบไปด้วย แต่เพราะไมเนอร์ได้เปิดบริการสั่งอาหารเดลิเวอรีทางออนไลน์ รวมทั้งสินค้าไลฟ์สไตล์ที่มุ่งเน้นไปที่ช่องทางออนไลน์ ทำให้บริษัทสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้บางส่วน แม้จะยังประสบวิกฤตโควิด-19 อยู่ก็ตาม

 

วิลเลี่ยมย้ำว่า บทเรียนที่สำคัญที่สุดคือ หนึ่งในหัวใจของการลงทุนธุรกิจคือการกระจายการลงทุน โดยปกติหากเกิดอุปสรรคทางเศรษฐกิจในอุตสาหกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่ง บริษัทที่ดำเนินกิจการอยู่ในอุตสาหกรรมนั้นๆ ก็จะประสบปัญหาอย่างหนัก เช่นเดียวกับธุรกิจที่มีฐานอยู่ในภูมิภาคเดียว หากภูมิภาคนั้นประสบปัญหา ไม่ว่าจะเป็นการเมืองหรือภัยธรรมชาติ ก็จะกระทบการดำเนินงานทั้งหมด 

 

“แต่ถ้าหากบริษัทกระจายกิจการไปตามอุตสาหกรรมต่างๆ และภูมิภาคหลายๆ แห่ง บริษัทก็จะยังมีรายได้เข้ามา และสามารถดำเนินธุรกิจเป็นส่วนๆ ต่อไปได้ ซึ่งเป็นการลดความเสี่ยง ควบคุมความสูญเสียที่อาจเกิดจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ” 

 

สำหรับไมเนอร์นั้นมีความหลากหลายทั้งด้านอุตสาหกรรม และความหลากหลายทางภูมิศาสตร์ โดยอยู่ในทั้งอุตสาหกรรมโรงแรม ร้านอาหาร และสินค้าแบรนด์แฟชั่น ไลฟ์สไตล์ ที่ดำเนินกิจการอยู่ในตลาดเอเชียแปซิฟิก ตะวันออกกลาง แอฟริกา มหาสมุทรอินเดีย ยุโรป และอเมริกา รวมกัน 63 ประเทศ

 

แม้ผลกระทบของการระบาดของโควิด-19 จะทำร้ายธุรกิจมากมายในหลายอุตสาหกรรมทั่วโลก รวมทั้งไมเนอร์ หากแต่ว่าในระหว่างที่ธุรกิจโรงแรมชะงักอยู่ ธุรกิจอาหารเดลิเวอรีกับธุรกิจร้านค้าสินค้าไลฟ์สไตล์ออนไลน์ก็มียอดขายที่โตขึ้นจากพฤติกรรมผู้บริโภคที่ปรับตามสถานการณ์ 

 

“ผลกระทบทางธุรกิจจากวิกฤตครั้งนี้ก็ไม่ถาวร ในอดีต อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติและปัญหาความไม่มั่นคงทางการเมืองต่างๆ แต่ภาคการท่องเที่ยวก็ฟื้นตัวเสมอ และจะส่งผลบวกต่อธุรกิจร้านอาหารและสินค้าไลฟ์สไตล์ในระดับถัดๆ ไป” 

 

ขณะที่ประเทศต่างๆ คลายล็อกดาวน์อย่างค่อยเป็นค่อยไป การท่องเที่ยวภายในประเทศจะฟื้นกลับมาก่อน ตามมาด้วยการท่องเที่ยวเชิงภูมิภาค ซึ่งจะส่งผลดีต่อธุรกิจโรงแรมในเครือไมเนอร์ ไมเนอร์มีโรงแรมในเครือกว่า 530 แห่ง ซึ่งตั้งอยู่ในทั้งหมด 55 ประเทศ ผู้เข้าพักโรงแรมในเครือในยุโรปกับเอเชียเป็นคนในท้องที่นั้นอยู่แล้วมากถึง 60% 

 

ส่วนร้านอาหารในกลุ่มไมเนอร์ ฟู้ด ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในประเทศไทย แต่เป็นหนึ่งในบริษัทร้านอาหารที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย ซึ่งครอบคลุมอาหารนานาประเภท โดยร้านอาหารในเครือมีมากกว่า 2,300 ร้าน ใน 26 ประเทศ ขณะที่กลุ่มไลฟ์สไตล์ก็มีแบรนด์ เช่น Anello, Charles & Keith, Esprit, OVS และ Radley เป็นต้น 

 

 

 

พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising
X
Close Advertising