SCB Chief Investment Office (SCB CIO) เปิดเผยบทวิเคราะห์ประจำสัปดาห์ ระบุว่า สัปดาห์นี้ตลาดหุ้นโลกยังมีแนวโน้มเคลื่อนไหวผันผวน และได้รับแรงกดดันจากความเสี่ยงการแพร่ระบาดของโควิด-19 รอบสอง เช่นเดียวกับความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ-จีน รวมทั้งการประท้วงและการก่อจลาจลในสหรัฐฯ ที่ยังคงมีอยู่
นอกจากนี้ คาดว่าถ้อยแถลงของพาวเวลล์ ประธาน Fed ต่อสภาคองเกรสในสัปดาห์นี้ จะส่งสัญญาณผ่อนคลายทางการเงิน (Dovish) น้อยกว่าที่ตลาดคาดการณ์ หลังจากการประชุม Fed ครั้งล่าสุด ที่ประชุมฯ ได้ปรับแผนการเข้าซื้อสินทรัพย์ในมาตรการ QE จากการเข้าซื้อสินทรัพย์อย่างไม่จำกัด เป็นการเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ และตราสารหนี้ที่มีสินเชื่อที่อยู่อาศัยเป็นหลักประกันการจำนอง (MBS) วงเงิน 8 และ 4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐต่อเดือนตามลำดับ
อย่างไรก็ดี ตลาดฯ อาจได้รับแรงหนุนบางส่วนจากการที่ธนาคารกลาง และรัฐบาลต่างๆ ยังส่งสัญญาณดำเนินนโยบายการเงินการคลังเชิงผ่อนคลาย และพร้อมออกมาตรการอื่นๆ เพิ่มเติมหากจำเป็น
ด้านราคาน้ำมันดิบ WTI มีแนวโน้มปรับลดลง และเคลื่อนไหวผันผวนจากความเป็นไปได้ที่โควิด-19 จะแพร่ระบาดรอบสองในสหรัฐฯ และกดดันต่ออุปสงค์น้ำมันให้ปรับลดลงอีกครั้ง ประกอบกับนักลงทุนรอติดตามการประชุมของคณะกรรมการตรวจสอบการปฏิบัติตามข้อตกลงปรับลดกำลังการผลิตของกลุ่มโอเปกพลัส ซึ่งจะมีการหารือเกี่ยวกับสถานการณ์ตลาดน้ำมันโลก
สำหรับตลาดหุ้นไทย มีแนวโน้มถูกกดดันจากแรงขายหุ้นกลุ่มพลังงานตามราคาน้ำมันดิบที่ปรับลดลง อย่างไรก็ดี ดัชนีฯ อาจได้แรงหนุนระยะสั้นจากความคาดหวังกิจกรรมทางเศรษฐกิจของไทยที่มีแนวโน้มฟื้นตัว หลังศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) ประกาศผ่อนปรนมาตรการสกัดกั้นการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในระยะที่ 4 ตั้งแต่วันที่ 15 มิถุนายนนี้
ทั้งนี้ SCB CIO ยังเตือนให้จับตาเหตุการณ์สำคัญในรอบสัปดาห์นี้ ได้แก่
– ความคืบหน้าการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ในประเทศต่างๆ ตลอดจนความเสี่ยงการแพร่ระบาดของโควิด-19 รอบสอง หลังรัฐเท็กซัสรายงานจำนวนผู้ติดเชื้ออยู่ระดับสูงสุดใหม่ และมีจำนวนผู้ป่วยโควิด-19 เข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลทำลายสถิติสูงสุด
– เหตุการณ์ประท้วงและการก่อจลาจลในสหรัฐฯ เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้จอร์จ ฟลอยด์ ชาวผิวสี โดยล่าสุดผู้ประท้วงชาวสหรัฐฯ ได้ออกมาปิดทางหลวงในแอตแลนตา ขณะที่ผู้บังคับการตำรวจเมืองแอตแลนตาได้ยื่นหนังสือลาออก เพื่อรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
– การแถลงการณ์รอบครึ่งปีของเจอโรม พาวเวลล์ ประธาน Fed ว่าด้วยนโยบายการเงินและภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ ต่อคณะกรรมาธิการการธนาคารประจำวุฒิสภา (16 มิถุนายน) และจะแถลงต่อคณะกรรมาธิการบริการการเงินประจำสภาผู้แทนราษฎร (17 มิถุนายน)
– การประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BoJ) (16 มิถุนายน) คาดว่า BoJ มีแนวโน้มคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป้าหมายทั้งระยะสั้นและระยะยาวตามเดิม รวมทั้งคงการเข้าซื้อสินทรัพย์ (JGB, ETF และ J-Reit) ต่อปี ขณะที่ BoJ อาจขยายมาตรการจัดหาวงเงินกู้ให้กับ SMEs จากเดิมที่ 30 ล้านล้านเยน เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรการทางการคลังในช่วงที่ผ่านมา (มูลค่า 240.4 ล้านล้านเยน หรือ 43% ของ GDP)
– ผู้นำยุโรป 27 ชาติจะประชุมทางไกล (19 มิถุนายน) เพื่อเจรจาต่อรองเกี่ยวกับแผนการกู้ยืมเงิน 7.50 แสนล้านยูโร จากตลาดการเงินต่างๆ ในช่วงเดือนมิถุนายนถึงเดือนกันยายนนี้
– การประชุมธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) (18 มิถุนายน) คาดว่า BoE มีแนวโน้มคงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0.1% อย่างไรก็ดี BoE มีแนวโน้มขยายวงเงิน QE โดยตลาดคาดว่า BoE น่าจะเพิ่มวงเงิน QE อีกประมาณ 100 พันล้านปอนด์ อย่างไรก็ดี ถ้อยแถลงของ BoE น่าจะเป็นไปในเชิงผ่อนคลายต่อเนื่อง โดยอาจมีการส่งสัญญาณว่าพร้อมที่จะใช้ทุกเครื่องมือในการพิจารณาผ่อนคลายนโยบายการเงิน เพื่อบรรเทาผลกระทบจากโควิด-19 หากมีความจำเป็น
– การประชุมของคณะกรรมการตรวจสอบการปฏิบัติตามข้อตกลงปรับลดกำลังการผลิตของกลุ่มโอเปกพลัส (18 มิถุนายน) เพื่อหารือเกี่ยวกับสถานการณ์ตลาดน้ำมันโลก
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์
