ในอังกฤษ อันโตนิโอ คอนเต (Antonio Conte) พาเชลซีเป็นแชมป์พร้อมทำสถิติแชมป์ลีกสูงสุดอังกฤษทีมแรกในประวัติศาสตร์ที่ชนะถึง 30 เกมจากทั้งหมด 38 เกมในหนึ่งฤดูกาล
เรอัล มาดริด ภายใต้การคุมทีมของ ซีเนดีน ซีดาน (Zinédine Zidane) คว้าบัลลังก์แชมป์ลาลีกาสเปนเป็นสมัยที่ 33 และพาสโมสรเรอัล มาดริด ป้องกันแชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีกได้สำเร็จเป็นสโมสรแรกในประวัติศาสตร์
ขณะที่ มัสซิโม คาร์เรรา (Massimo Carrera) ก็พาทีมสปาร์ตัก มอสโก คว้าแชมป์ลีกสูงสุดของรัสเซีย
ส่วน ดิดิเยร์ เดสชองส์ (Didier Deschamps) พาทีมชาติฝรั่งเศส จบอันดับที่หนึ่งของกลุ่มเอด้วยสถิติไร้พ่ายในฟุตบอลโลกปี ค.ศ. 2018 รอบคัดเลือกโซนยุโรป
สิ่งหนึ่งที่กุนซือทั้ง 4 คนนี้มีเหมือนกันคือ พวกเขาเคยเป็นนักฟุตบอลสโมสรยูเวนตุสภายใต้การคุมทีมของ มาร์เชลโล ลิปปี (Marcello Lippi) กุนซือผู้เปลี่ยนโฉมวงการฟุตบอลอิตาลีในยุค 90s
มาร์เชลโล ลิปปี ก้าวเข้ามาคุมยูเวนตุสครั้งแรกในปี ค.ศ. 1994 พร้อมกับพาทีมคว้าแชมป์เซเรียอา 5 สมัย แชมเปียนส์ลีก 1 สมัย และเข้าชิงยูฟ่า แชมเปียนส์ลีกถึง 4 สมัย หลังจากนั้นยูเวนตุสก็ประสบความสำเร็จเรื่อยมาจากปรัชญาความสำเร็จที่ลิปปีได้มอบให้ในระหว่างการคุมทีมในช่วงปี ค.ศ. 1994-1999 และ ค.ศ. 2001-2004
มาร์เชลโล ลิปปี ได้เผยถึงเคล็ดลับของเขาในการคุมทีมคือ การสื่อสารระหว่างนักเตะกับโค้ช โดยจะเลือกนำเอานักเตะที่มีความเข้าใจในสไตล์การทำทีมของเขามาร่วมงาน ส่งผลให้เขาผลิตกุนซือจากนักเตะชุดนั้นถึง 18 คน
“ฟุตบอลยุคนี้ คุณจะชนะได้เพราะความแข็งแกร่งของทีม มันไม่สำคัญว่าคุณต้องมีนักฟุตบอลที่ดีที่สุดในประเทศ ซึ่งเป็นไปได้ว่าหากนำนักเตะที่ดีที่สุดมารวมกัน ทีมอาจจะไม่มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน การคุมทีมก็เหมือนการสร้างภาพโมเสก คุณต้องรวมทุกองค์ประกอบให้ออกมาเป็นภาพที่สวยงามให้ได้”
สไตล์เกมรับของลิปปีในช่วงที่อยู่กับยูเวนตุสนั้นคือ การเพลสซิงสูงและตัดช่องทางส่งบอลของคู่แข่ง ซึ่งนักเตะในสังกัดของเขาอย่างคอนเตและซีดานได้นำมาใช้อย่างสวยงามในฤดูกาลนี้
“ผมชอบทีมที่ปรับตัวได้ตลอดเวลาแม้กระทั่งในระหว่างการแข่งขัน สิ่งหนึ่งที่ผมไม่เชื่อคือปรัชญาฟุตบอลที่รักษาสไตล์การเล่นไว้เพียงรูปแบบเดียวตลอดเวลา” ลิปปีกล่าวไว้ในช่วงที่เขาพาทีมเข้าชิงฟุตบอลยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก กับสโมสรอาแจกซ์ของหลุยส์ ฟาน กัล
ปรัชญาของเขาแสดงออกมาได้อย่างชัดเจนในฟุตบอลยูฟ่า แชมเปียนส์ลีกรอบชิงชนะเลิศกับสโมสรอาแจกซ์ ในปี ค.ศ. 1996 ในครั้งนั้นลิปปีใช้แผนการเล่น 4-3-3 ซึ่งไม่ได้ออกแบบมาสำหรับเน้นการครองบอล แต่กลับให้กองกลาง 2 คนนั้นคือ คอนเต กับเดสชองส์ บีบเกมรุกฝั่งตรงข้ามในแดนกลาง ขณะที่ อเลสซานโดร เดล ปิเอโร ได้รับอิสระในการเล่นเกมรุกเต็มที่
มาร์เชลโล ลิปปี ได้ให้ความสำคัญกับการปรับแท็กติกตามทรัพยากรของทีมที่มีอยู่ เห็นได้จากการเลือกใช้งาน เดล ปิเอโร ซึ่งคนที่นำบทเรียนนี้มาใช้ได้อย่างดีเยี่ยมคือคอนเต โดยในสมัยที่คอนเตคุมทีมยูเวนตุส เขาเลือกใช้แผน 4-2-4 แต่เมื่อได้เซ็นสัญญากับ อันเดรีย ปีร์โล จอมทัพจอมเก๋าจากเอซี มิลาน เขาก็ได้ปรับแผนการเล่นเป็น 3-5-2 โดยให้ปีร์โลอยู่เป็นจุดศูนย์กลางการสร้างสรรค์เกม ส่วนการคุมทีมเชลซีนั้น คอนเตเริ่มต้นด้วยแผน 4-1-4-1 แต่เมื่อแผนของเขาล้มเหลวด้วยการพ่ายให้กับลิเวอร์พูลและอาร์เซนอลในช่วงต้นฤดูกาล เขาก็ได้เปลี่ยนระบบเป็น 3-4-2-1 โดยเลือกใช้กองกลางตัวรับเป็น เอ็นโกโล ก็องเต และ เนมันยา มาติช 3 ประสานในแดนหน้าเป็น เอเด็น ฮาซาร์ และ วิลเลียน ส่วนหน้าเป้าเป็นดิเอโก คอสตา ผลคือเชลซีสามารถเก็บชัยชนะติดต่อกันถึง 13 นัด และคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกหลังจากเอาชนะเวสต์บรอมวิชไปเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคมที่ผ่านมา
คุณสมบัติของคอนเตที่นักเตะเห็นพ้องต้องกันคือ ความทุ่มเท และความละเอียดในการวางหมาก
“เมื่อคุณเล่นให้กับคอนเต ในวันที่ลงสนามคุณรู้สึกว่าคุณพร้อมสำหรับเกมนั้นมาก คอนเตทำให้คุณรู้สึกว่าคุณทำการบ้านมาดี และรู้ทุกอย่างสำหรับเกมนั้น” เลโอนาร์โด โบนุชชี กองหลังยูเวนตุสที่เคยร่วมงานกับคอนเตกล่าว
“เรารู้ว่าต้องทำอะไรบ้างในแต่ละเกม นักเตะทุกคนก็รู้หน้าที่ของตัวเองหมด” เอเด็น ฮาซาร์ ที่ฤดูกาลนี้ยิงไป 15 ประตู พูดถึงคอนเต
ขณะที่ลูกศิษย์ของเขาอีกคนหนึ่งอย่างซีเนดีน ซีดาน บริหารทีมเรอัล มาดริดที่มีขุมกำลัง ซึ่งเต็มไปด้วยนักฟุตบอลชื่อดังที่เปี่ยมไปด้วยความสามารถและความทระนงให้สำเร็จได้ตามแนวทางของเขาเอง
โดยเลือกใช้ความสามารถเฉพาะตัวของคริสเตียโน โรนัลโด ศูนย์หน้าชาวโปรตุเกสได้อย่างยอดเยี่ยมในฤดูกาลนี้ ด้วยการเปลี่ยนปีกความเร็วสูงมาเป็นศูนย์หน้าหมายเลข 9 ผู้จบสกอร์ในเกมสำคัญโดยเฉพาะ 2 ประตูของเขาในศึกยูฟ่า แชมเปียนส์ลีกรอบชิงชนะเลิศ ก็เป็นหลักฐานสำคัญของการเลือกใช้นักฟุตบอลได้อย่างถูกที่ถูกเวลา
แต่สิ่งสำคัญที่สุดที่ลิปปีได้มอบให้โลกฟุตบอลในปัจจุบันคือ ปรัชญาการทำทีมที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์ตลอดเวลา อิตาลีเป็นลีกที่ขึ้นชื่อในเรื่องของเกมรับ แต่หลังจากลิปปีเข้ามาคุมทีม ยูเวนตุสก็เกิดการเปลี่ยนแปลงและกลับมาทวงความยิ่งใหญ่ได้ ด้วยสไตล์การเล่นที่ดุดันมากกว่าทีมอื่นในอิตาลี และเมล็ดพันธ์ุที่ลิปปีได้ปลูกไว้ในความคิดของนักเตะยูเวนตุสในวันนั้น วันนี้เมล็ดพันธุ์เหล่านั้นได้ออกดอกออกผลงดงาม และกลายเป็นรากฐานสำคัญของแท็กติกฟุตบอลในยุโรปไปแล้ว
สิ่งหนึ่งที่โค้ชฟุตบอลไทยสามารถเรียนรู้ได้จากปรัชญาการทำทีมฟุตบอลของลิปปีคือ การเข้าใจทรัพยากรของทีมที่มีอยู่ และดึงแต่ละส่วนมาใช้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
บทสรุปของฟุตบอลยุโรปที่บรรดากุนซืออดีตลูกหม้อของลิปปีพาทีมคว้าแชมป์ลีกสูงสุด น่าจะเป็นบทพิสูจน์ได้ดีว่า ทีมที่ดีที่สุดไม่จำเป็นต้องมีนักเตะที่ดีที่สุด แต่เป็นทีมที่ลงตัวที่สุด
อ้างอิง:
– www.youtube.com/watch?v=05Fz0bQfiYQ
– www.dailymail.co.uk/~/article-4480708/index.html