วันนี้ (9 มีนาคม) บล.เคทีบี (ประเทศไทย) หรือ KTBST รายงานว่า ราคาน้ำมันดิบลดลงกว่า 30% ผลจากการประชุม OPEC บวกกับเพื่อลดกำลังการผลิตน้ำมัน แต่ไม่สำเร็จ เพราะรัสเซียปฏิเสธข้อตกลง ด้านซาอุดีอาระเบียประกาศเพิ่มการผลิตน้ำมันดิบ
ทั้งนี้ทาง KTBST ประเมินว่า ราคาน้ำมันอาจจะมี Downside ต่ำสุดที่ 20-25 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล โดยมีสมมติฐานจาก 1. เพราะต้นทุนของรัสเซียอยู่ที่ราว 20 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ขณะที่ต้นทุนของซาอุดีอาระเบียอยู่ที่ 10 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล และ 2. เมื่อเทียบกับช่วงสงครามราคาเมื่อปี 2014 ที่ราคาน้ำมันลดลง 70% จาก 112 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ลงมาอยู่ที่ระดับ 35 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล
อย่างไรก็ตาม คาดว่ากลุ่มหุ้นที่ได้รับผลกระทบ ได้แก่
- PTTEP ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันมากที่สุด หากราคาน้ำมันลดลงทุกๆ 1 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล จะกระทบกำไรของ PTTEP ราว 900 ล้านบาท ส่วน PTT จะได้รับผลกระทบพ่วงจากบริษัทลูก
- หุ้นกลุ่มโรงกลั่น TOP, SPC, BCP, IRPC อาจได้รับผลกระทบจาก Stock Loss ที่จะเกิดขึ้นในไตรมาส 1 ปี 2563 น่าจะส่งผลให้เกิดโอกาสขาดทุน
- หุ้นกลุ่มปิโตรเคมี SCC, PTTGC, IVL ได้รับผลกระทบจาก Stock Loss ในไตรมาส 1 ปี 2563
ขณะเดียวกันมีกลุ่มหุ้นที่คาดว่าจะได้รับผลบวกจากราคาน้ำมันปรับลดลง ได้แก่
- กลุ่มสายการบิน (THAI, AAV, BA, NOK) ได้ประโชยน์จากราคาน้ำมันเชื้อเพลิงลดลง โดยน้ำมันเชื้อเพลิงคิดเป็น 30-40% จากรายได้รวม
- กลุ่มขนส่งสินค้าทางเรือ ได้แก่ PSL, TTA, RCL, PRM เนื่องจากน้ำมันเป็นต้นทุนหลักของบริษัท
- กลุ่มไฟฟ้า ได้แก่ BGRM, GPSC, GULF ซึ่งต้นทุนหลักกว่า 70% มาจากก๊าซธรรมชาติที่มีเชื่อมโยงกับราคาน้ำมัน
และหุ้นอื่นๆ เช่น EPG, PP, PET, HDPE ได้ประโยชน์จากต้นทุนวัตถุดิบหลักที่มีแนวโน้มปรับลดลงตามราคาน้ำมัน
อย่างไรก็ตาม คาดว่าราคาหุ้นในกลุ่มดังกล่าวจะไปไม่โดดเด่นกว่าตลาดหุ้นไทยมากนัก เพราะความต้องการจะลดลงด้วย
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้องได้ที่
- https://thestandard.co/thai-baht-strengthen-hitting-31-40-per-dollar/
- https://thestandard.co/thai-stock-market-drop-1300-points/
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า