ถ้าไม่นับห้างอิเซตันหรือโตคิวที่เราคุ้นเคยกันดี ก็นับว่า ‘สยามทาคาชิมายะ’ คือห้างญี่ปุ่นระดับไฮเอนด์แบรนด์แรกที่เข้ามาเปิดในไทยอย่างเป็นทางการ แถมยังขนร้านรวงจากญี่ปุ่นพ่วงท้ายมาด้วยอีกเพียบ โดยเฉพาะของกินแสนอร่อย ทั้งสุกี้ ชาบู ราเมน ซูชิ ทงคัตสึ ฯลฯ ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็นร้านดังมีชื่อและยังไม่เคยเปิดสาขาในไทยทั้งนั้น
THE STANDARD ไปสำรวจมาให้คุณแล้ว นี่คือ 5 ร้านเด็ดจากสยามทาคาชิมายะที่เราเห็นว่าคุณสมควรไปโดน เพราะอร่อย คุณภาพคับแก้ว แถมยังราคาพอๆ กับบินไปกินถึงแดนอาทิตย์อุทัย
พิกัด 1: Katsukura Kyoto
ร้านหมูชุบแป้งทอดเจ้าดังที่ครองใจคนเกียวโตและนักท่องเที่ยวมานานหลายสิบปี ชนิดที่ว่าใครมาเกียวโตเป็นต้องแวะลิ้มลองทุกรายไป เนื้อหมูคุณภาพนำไปชุบไข่และแป้ง 2 ชนิด ทอดในน้ำมันจนเหลืองกรอบ หม่ำคู่กับข้าวสวยญี่ปุ่นร้อนๆ พร้อมซอสรสเค็มอมหวาน แกล้มด้วยสลัดกะหล่ำรสส้มยุสุแบบไม่อั้น ใครที่เคยลิ้มลองหมูทอดทงคัตสึของ Katsukura ที่เกียวโตหรือสาขาอื่นๆ แล้วชื่นชอบ ตอนนี้ทางร้านขยับขยายสาขามาเปิดที่ไทยแล้ว ซึ่งถือเป็นสาขานอกประเทศแห่งที่ 2 ต่อจากเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน
Location: ชั้น 4
Budget: 250-400 บาท
Website: www.katsukura.jp/en
พิกัด 2: Unagi Toku
สาวกข้าวหน้าปลาไหลญี่ปุ่นห้ามพลาดร้านนี้เด็ดขาด Unagi Toku ร้านข้าวหน้าปลาไหลมีชื่อที่มีสาขาไปทั่วญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็นตามเมืองใหญ่อย่างโตเกียว โอซาก้า เกียวโต หรือเมืองเล็กรองลงมาอย่างฮากาตะ ฮามามัตสึ เปิดให้บริการนานกว่า 100 ปี จุดเด่นอยู่ที่วัตถุดิบสดใหม่ที่คัดสรรมาปรุงอย่างพิถีพิถัน ข้าวออร์แกนิกจากไร่ที่เชื่อถือได้ในญี่ปุ่น ปลาไหลย่างโดยเชฟผู้เชี่ยวชาญด้านปลาไหลโดยเฉพาะ และซอสราดสูตรพิเศษของ Unagi Toku ที่ถูกเคี่ยวต่อเนื่องกันนานกว่าทศวรรษ ที่นี่เสิร์ฟข้าวหน้าปลาไหลหลากหลายรูปแบบ มีทั้งเป็นเซตหม่ำคู่กับผักดองและซุป หรือจะเป็นเซตใหญ่แบบหม่ำคู่กับอย่างอื่น นอกจากนั้นยังเมนูปลาไหลอีกหลายชนิด เช่น ข้าวต้มปลาไหล ปลาไหลย่างขาว ปลาไหลนึ่งแบบฮามามัตสึ เป็นต้น
Location: ชั้น 4 โซน Rose Dining
Budget: ราคาแบบเซตอยู่ที่ 980-2,300 บาท
Website: www.unagiya.co.jp/bangkok
พิกัด 3: Masa Zushi
ร้านซูชิจากเมืองโอตารุที่มีสาขาอยู่ตามเมืองใหญ่ในญี่ปุ่น ตัดสินใจเปิดสาขานอกประเทศแห่งแรก ณ ชั้น 4 ห้างสยามทาคาชิมายะ ร้านนี้แม้ไม่โด่งดังในหมู่คนไทย แต่ก็เป็นที่รู้จักของคนญี่ปุ่น โดยเฉพาะในเมืองโอตารุ จังหวัดฮอกไกโด จุดมุ่งหมายของ Masa Zushi คือการเผยแพร่รสชาติความอร่อยของเมืองโอตารุที่เด่นเรื่องอาหารทะเลและวัตถุดิบสดใหม่ แอบกระซิบว่าสาขานี้เชฟใหญ่เจ้าของร้านลงมาดูแลเองทุกรายละเอียดตั้งแต่การตกแต่งยันความอร่อยของน้ำที่ใช้ปรุงอาหารในร้าน ไม่ว่าคุณจะสั่งเป็นเซตอาหารคอร์สหรือแบบโอมากะเสะ มั่นใจได้เลยว่ารสชาติและคุณภาพเหมือนบินไปกินถึงโอตารุเลยทีเดียว
Location: ชั้น 4 โซน Rose Dining
Budget: ประมาณ 2,500-5,500 บาท
Website: www.masazushi.co.jp
พิกัด 4: Kamui Hokkaido Dinner
จากร้านราเมนชื่อดังในเขตเมืองอาซาฮิกาวะ จังหวัดฮอกไกโด ต่อยอดเป็นร้านอาหารแบบไฟน์ไดนิ่งเพื่อให้นักชิมนอกประเทศได้ลิ้มลองเป็นครั้งแรก จุดเด่นของ Kamui Hokkaido Dinner อยู่ที่วัตถุดิบสดใหม่ที่ส่งตรงจากฮอกไกโดทุกวัน ปรุงขึ้นจากรสมือเชฟอาหารญี่ปุ่นชั้นสูงซึ่งผ่านการฝึกปรือมาแล้วทั่วโลก ทั้งปูเนื้อแน่น หอยเชลล์ตัวอวบหวานอร่อย หรือแม้แต่อูนิ ไข่หอยเม่นระดับเกรด S ก็มีให้ลิ้มลอง เปิดให้บริการทั้งแบบคอร์สเมนูและอะลาคาร์ตสำหรับนักชิมมือใหม่ เชฟแนะนำให้สั่ง Chef’s Omotenashi คอร์สเมนู 7 จานที่รวมทุกความอร่อยของเกาะฮอกไกโดมาไว้ในมื้อเดียว มาที่นี่รับรองว่าไม่ต้องจองตั๋วเครื่องบินก็ได้ชิมรสเดียวกับคนฮอกไกโด
Location: ชั้น 4 โซน Rose Dining
Budget: 2,000-5,500 บาท สำหรับอาหารคอร์ส
Website: kamui.ocean2006.com
พิกัด 5: Q-Pot Cafe
คาเฟ่น่ารักจากย่านชิบูย่า กรุงโตเกียว ที่แตกยอดมาจากแบรนด์เครื่องประดับในชื่อเดียวกัน Q-Pot โดยได้แรงบันดาลใจจากเครื่องประดับที่วางจำหน่ายภายในร้าน ไม่ว่าจะเป็นเค้ก มาการอง หรือขนมหวานชนิดอื่นๆ Q-Pot สาขาสยามทาคาชิมายะ ถือเป็นสาขานอกประเทศแห่งแรกของแบรนด์ ทาดากิ วากามัตสึ ผู้ออกแบบและเจ้าของแบรนด์ให้สัมภาษณ์กับ THE STANDARD ว่าเหตุที่เขาตัดสินใจนำ Q-Pot Cafe มาเปิดที่ไทยนั้นก็เพราะประทับใจในความมีน้ำใจและรอยยิ้มของคนไทย ซึ่งตรงกับจุดมุ่งหมายของ Q-Pot และหลังจากแอบไปสำรวจมาคร่าวๆ ขอบอกเลยว่าเมนูน่ารับประทานมาก ถ่ายรูปขึ้นสุดๆ เครื่องประดับก็น่ารัก ตอนนี้มีเมนูเฉพาะขายที่เมืองไทยด้วย เป็นไอศกรีมรสมะม่วงผสมบลูเบอร์รีและวัตถุดิบท้องถิ่น สีสันสวยงามน่ากิน ไม่เหมือนไอศกรีมมะม่วงที่ไหนแน่นอน
Location: ชั้น 2 ใกล้กับแผนกรองเท้า
Budget: 300-500 บาท สำหรับขนม
Website: www.q-pot.jp
ภาพ: อนุวัฒ เสนีวงศ์ ณ อยุธยา, Courtesy of Brands
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์