ธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัดให้ข้อมูลว่าขณะนี้ทุกอุตสาหกรรมต่างเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงที่รุนแรง (Disruption) ทั้งสิ้น ซึ่งจำเป็นต้องปรับตัวอย่างรวดเร็ว เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์หรือ AI จะเป็นหัวใจสำคัญของการทำธุรกิจจากนี้ต่อไป
ในปี 2559 ไมโครซอฟท์พัฒนาเอไอได้ถึงระดับการมองเห็นและรับรู้วัตถุได้เทียบเท่ากับมนุษย์ ต่อมาปี 2560 เอไอสามารถรับฟังเสียงพูดของมนุษย์ได้ และเมื่อต้นปี 2561 ที่ผ่านมา เอไอสามารถอ่านจับใจความและแปลภาษาได้ ซึ่งทำได้ใกล้เคียงกับมนุษย์แล้ว
จากที่สำนักข่าว THE STANDARD ได้ชมจากการสาธิตการใช้งานเอไอของไมโครซอฟท์พบว่าสามารถพูดออกเสียง สแกนเอกสารและอ่านตาม อ่านบาร์โค้ดเพื่ออธิบายลักษณะสินค้า จดจำลักษณะเงินต่างประเทศได้ 5 สกุล ถ่ายภาพจากสมาร์ทโฟนและบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ทันที แยกประเภทสีได้ละเอียด และสามารถปรับระดับความเร็วของการพูดได้
ที่ผ่านมาไมโครซอฟท์พัฒนาโครงการร่วมกับหลายแบรนด์ทั้ง BMW กับแพลตฟอร์มและการบริการที่เชื่อมต่อผู้ขับขี่ รถ และโลกภายนอกภายใต้แนวคิดของ Internet of Things (IoT) รวมทั้งการใช้เทคโนโลยีโดรนและกล้องที่รองรับระบบ Machine Learning สำหรับการพัฒนาผลิตภาพของเกษตรกรด้วย
ธนวัฒน์ กล่าวว่าจากนี้ไมโครซอฟท์จะฝังเอไอไปกับทุกผลิตภัณฑ์ของตน รวมถึงโปรแกรมสำหรับการใช้งานในออฟฟิศด้วย ซึ่งไม่จำเป็นที่ทุกองค์กรจะต้องมีนักวิทยาศาสตร์ข้อมูล (Data Scientist) ส่วนธุรกิจสามารถใช้ประโยชน์จากเอไอได้จากเครื่องมือที่มี ขณะนี้อยู่ระหว่างทำงานร่วมกับภาครัฐในการกำหนด AI Principle เพื่อร่วมผลักดันในการออกกฎหมายหรือข้อบังคับเพื่อกำกับดูแลการใช้งานเอไอ และมีความเป็นไปได้ที่จะลงทุนจัดตั้ง AI Lab ในประเทศไทยเพื่อพัฒนาทักษะของบุคลากรด้านเทคโนโลยีด้วย
“เราจะไม่ปล่อยให้เอไอทำอะไรเองโดยที่ไม่มีมนุษย์เข้าไปกำกับดูแล” ผู้บริหารไมโครซอฟท์กล่าว
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์