×

ส่องฉากทัศน์ธุรกิจไทยปี 2026 เจาะ 5 ประเด็นร้อนทุบเศรษฐกิจ พร้อมกางกลยุทธ์ ‘READY’ ทางรอดเดียวท่ามกลางมรสุม Mega Trends และหนี้ครัวเรือนพุ่ง

24.12.2025
  • LOADING...
ส่องฉากทัศน์ธุรกิจไทยปี 2026 เจาะ 5 ประเด็นร้อนทุบเศรษฐกิจ พร้อมกางกลยุทธ์ ‘READY’ ทางรอดเดียวท่ามกลางมรสุม Mega Trends และหนี้ครัวเรือนพุ่ง

ในปี 2026 ภาคธุรกิจยังคงเผชิญกับความท้าทายรอบด้านจากทั้งปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในมิติต่าง ๆ ซึ่งจะส่งผลต่อทิศทางการเติบโตของภาคธุรกิจ

 

SCB EIC ได้วิเคราะห์ 5 ประเด็นสำคัญที่ต้องจับตามองและคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อแนวโน้มการเติบโตของภาคธุรกิจในปี 2026 และในระยะกลาง ประกอบด้วย

 

  • ความผันผวนในห่วงโซ่อุปทานการค้าโลก จากผลกระทบของปัญหาความขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์และนโยบายภาษีของสหรัฐฯ ซึ่งจะกดดันการเติบโตของรายได้และ Margin ของภาคธุรกิจ
  • ปัญหาความเปราะบางของกำลังซื้อภาคครัวเรือน ซึ่งจะส่งผลให้บางธุรกิจ โดยเฉพาะกลุ่มที่ต้องพึ่งพาสินเชื่อเพื่อการบริโภคและสินค้าฟุ่มเฟือยฟื้นตัวได้ยากขึ้น
  • ข้อจำกัดจากความไม่แน่นอนของนโยบายภาครัฐ โดยเฉพาะกลุ่มที่พึ่งพานโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจหรือขึ้นกับงบลงทุนของภาครัฐ จะมีความไม่แน่นอนของรายได้และอาจกระทบต่อแผนการลงทุนในอนาคต
  • ภาวะการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้น ทั้งจากในประเทศด้วยกันเองและจากต่างประเทศ ที่ทำให้ต้องเร่งปรับตัวเพื่อสร้างความแตกต่างและเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน
  • การเปลี่ยนแปลงของ Mega trends ที่เร็วและมีแรงกดดันมากขึ้น อาทิ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภค ผลกระทบจาก Technology disruption รวมถึงประเด็นด้าน ESG ซึ่งจะเป็นตัวแปรสำคัญที่กำหนดทิศทางการปรับตัวของธุรกิจในอนาคต

 

1. การเปลี่ยนแปลงของห่วงโซ่อุปทานโลกกระทบต่อธุรกิจไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม ท่ามกลางความผันผวนทางการค้าที่รุนแรงขึ้น กอปรกับความไม่แน่นอนของทิศทางการลงทุน

 

ความเสี่ยงจากภูมิรัฐศาสตร์และมาตรการกีดกันทางการค้ากำลังกดดันความสามารถในการแข่งขันของภาคธุรกิจไทย โดยเฉพาะธุรกิจที่พึ่งพารายได้จากตลาดส่งออกในสัดส่วนที่สูง เช่น อิเล็กทรอนิกส์ ถุงมือยาง และสิ่งทอ ซึ่งมีตลาดสหรัฐฯ เป็นคู่ค้าหลัก ธุรกิจเหล่านี้มีแนวโน้มได้รับผลกระทบโดยตรงจากการขึ้นภาษีนำเข้า ขณะที่อุตสาหกรรมยานยนต์ แม้สัดส่วนการส่งออกจะต่ำกว่า แต่ยังถูกท้าทายจากความได้เปรียบเชิงภาษีของคู่แข่งในกลุ่มความตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯ เม็กซิโก และแคนาดา (USMCA)

 

นอกจากนี้ ธุรกิจเกี่ยวเนื่องและภาคบริการก็เสี่ยงจะเผชิญผลกระทบทางอ้อมจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลก เช่น กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม โลจิสติกส์ และโรงแรม ส่วนธุรกิจที่พึ่งพาตลาดในประเทศ แม้ผลกระทบทางตรงจะจำกัด แต่ก็ได้รับแรงสั่นสะเทือนจากห่วงโซ่อุปทานภายในประเทศ การจ้างงานที่อาจชะลอลง ตลอดจนปัจจัยกดดันทางเศรษฐกิจ เช่น เงินเฟ้อ ดอกเบี้ย และความเชื่อมั่นผู้บริโภค ซึ่งส่งผลต่อกำลังซื้อและต้นทุนทางการเงิน

 

ขณะเดียวกัน ทิศทางการลงทุนจากต่างชาติเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ต้องจับตา เพราะถือเป็นทั้งโจทย์ความท้าทายและโอกาสสำหรับภาคธุรกิจไทยในการเชื่อมต่อและดึงดูดการลงทุนในห่วงโซ่อุปทานโลกในอนาคต

 

2. ความเปราะบางของกำลังซื้อครัวเรือนที่ฟื้นช้า หนี้ครัวเรือนที่ทรงตัวในระดับสูง ซึ่งจะกดดันการฟื้นตัวของบางธุรกิจ โดยเฉพาะอสังหาฯ และยานยนต์

 

ความเปราะบางของภาคครัวเรือนจากกำลังซื้อที่ยังฟื้นตัวช้า ประกอบกับข้อจำกัดในการเข้าถึงสินเชื่อที่ยังมีแนวโน้มคงอยู่ต่อเนื่องในปี 2026 ส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของบางกลุ่มธุรกิจ โดยเฉพาะอสังหาฯ ที่อยู่อาศัยและสินค้าคงทนอย่างรถยนต์ ที่จะยังคงฟื้นได้ช้าและยังต้องเผชิญแรงกดดันต่อเนื่องในระยะข้างหน้า สะท้อนได้จากผู้ประกอบการอสังหาฯ ที่ยังคงต้องเพิ่มความระมัดระวังในการเปิดตัวโครงการใหม่ อย่างไรก็ดี กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคและบริการจำเป็น เช่น ค้าส่งค้าปลีกในกลุ่ม Grocery อาหารและเครื่องดื่ม และคมนาคม ยังเป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มขยายตัวได้ สะท้อนจากรายได้ของกลุ่มธุรกิจเหล่านี้ที่ยังขยายตัวได้ต่อเนื่อง โดยมีผู้ประกอบการรายใหญ่เป็นแรงขับเคลื่อนหลัก

 

3. ความไม่แน่นอนทางการเมืองและนโยบายภาครัฐจะกระทบธุรกิจกลุ่มที่พึ่งพานโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ/งบลงทุนภาครัฐ

 

หลังจากการประกาศยุบสภาในเดือน ธ.ค. 2025 ส่งผลให้ในปี 2026 ยังมีความไม่แน่นอนทางการเมือง ซึ่งยังต้องจับตาผลการเลือกตั้ง และการจัดทำ พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายปีงบประมาณ 2027 ซึ่งหากมีความล่าช้าไม่มาก ก็จะบรรเทาความเสี่ยงของการหยุดชะงักหรือความล่าช้าในการเบิกจ่ายงบประมาณลงได้ อย่างไรก็ดี หากมีความล่าช้าออกไปมาก คาดว่าจะกระทบต่อการกระจายเม็ดเงินสู่เศรษฐกิจตั้งแต่ ต.ค. 2026 จะส่งผลต่อธุรกิจที่พึ่งพาการลงทุนภาครัฐ เช่น โครงสร้างพื้นฐานและก่อสร้าง นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนทางการเมืองยังมีส่วนบั่นทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติ กระทบแผนการลงทุน ขณะที่หนี้สาธารณะมีแนวโน้มแตะ 70% หากไม่ปรับแผนการคลัง จะจำกัดการใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ และการอุดหนุนในบางอุตสาหกรรม อย่างไรก็ดี คาดว่ารัฐบาลชุดใหม่จะยังคงมุ่งเน้นยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจจาก New engine of growth ซึ่งจะเป็นโอกาสสำหรับบางกลุ่มธุรกิจ เช่น เกษตรสมัยใหม่และอุตสาหกรรมอาหารแห่งอนาคต เทคโนโลยีชีวภาพ รวมทั้งอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative economy)

 

4. ธุรกิจไทยเผชิญการแข่งขันรุนแรงทั้งในประเทศและตลาดโลก แต่ผู้ประกอบการรายใหญ่หลายธุรกิจยังมีความแข็งแกร่ง ขณะที่ SME เปราะบางมากขึ้นและยังถูกซ้ำเติมจากผู้เล่นต่างชาติมากขึ้น

 

แม้ภาพรวมการแข่งขันภายในประเทศของภาคธุรกิจจะรุนแรงมากขึ้น แต่ผู้ประกอบการรายใหญ่ในหลายธุรกิจยังคงมีความสามารถในการแข่งขันที่สูง และมีความได้เปรียบในการแข่งขันมากกว่า SMEs จากฐานลูกค้ากว้าง ต้นทุนต่ำ และการเข้าถึงเงินทุนและเทคโนโลยี ขณะที่ SMEs สูญเสียส่วนแบ่งรายได้ในหลายอุตสาหกรรม เช่น โรงแรม, ค้าปลีก, อาหารและเครื่องดื่ม และยานยนต์ นอกจากนี้ ปัญหาการทะลักเข้ามาของสินค้านำเข้าจากจีน เช่น กลุ่มเหล็ก, เครื่องใช้ไฟฟ้า และชิ้นส่วนยานยนต์ ยังคงกดดันภาคการผลิตไทยให้อัตราการใช้กำลังการผลิตต่ำต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน การแข่งขันในตลาดโลกก็มีแนวโน้มเข้มข้นขึ้น ทั้งด้านราคา คุณภาพ และแบรนด์ สะท้อนได้จากอัตรากำไรที่ลดลง ทั้งนี้แม้ว่าผู้ประกอบการรายใหญ่จะมีความสามารถในการแข่งขันที่สูงกว่า SMEs หลายด้าน แต่ในระยะ 1-3 ปีที่ผ่านมา จะเริ่มเห็นการปรับตัวลดลงของอัตรากำไรของผู้ประกอบการรายใหญ่ในหลายอุตสาหกรรม เช่น กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง, ค้าส่งค้าปลีก, อิเล็กทรอนิกส์, คมนาคมขนส่ง, อาหารและเครื่องดื่ม และอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งหากไทยไม่เร่งลงทุนในเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อเพิ่มมูลค่า จะมีความเสี่ยงที่จะสูญเสียความสามารถแข่งขันและเสี่ยงปิดกิจการเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะ SME

 

5. ธุรกิจไทยเผชิญการเปลี่ยนแปลงของ Mega trends ที่เร็วและกดดันมากขึ้น ทั้งจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร การพัฒนาเทคโนโลยี รวมถึงประเด็นด้านความยั่งยืน

 

โครงสร้างประชากรที่เข้าสู่สังคมสูงวัย สร้างโอกาสใหม่ในธุรกิจบริการสุขภาพ ที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุ และผลิตภัณฑ์การเงินเฉพาะกลุ่ม ขณะเดียวกัน พฤติกรรมคนรุ่นใหม่ที่เน้นความยั่งยืนและสุขภาพ เปิดโอกาสให้ธุรกิจอาหารทางเลือก และบริการรองรับไลฟ์สไตล์อิสระยังเติบโตได้ดี ขณะที่การเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีขั้นสูงทำให้เกิดโมเดลธุรกิจใหม่ อย่างเช่น Subscription หรือ AI solutions และส่งผลให้ธุรกิจดั้งเดิมต้องเร่งลงทุน ซึ่งต้องใช้เงินลงทุนที่สูง นอกจากนี้ การเร่งเป้าหมาย Net zero ของไทยจากปี 2065 มาเป็นปี 2050 จะเพิ่มแรงกดดันต่อภาคธุรกิจ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง ทั้งนี้ไม่เพียงแต่ความพยายามลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเท่านั้น (Climate mitigation) แต่ภาคธุรกิจยังมีแรงกดดันในการต้องเตรียมพร้อมรับมือกับปัญหาภัยพิบัติที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นด้วย (Climate adaptation) อย่างไรก็ดี อีกด้านหนึ่งของความท้าทาย ก็ยังเปิดโอกาสให้หลายธุรกิจ อาทิ ธุรกิจในห่วงโซ่พลังงานหมุนเวียน, ธุรกิจจัดการของเสีย และวัสดุฐานชีวภาพ ซึ่งหากภาคธุรกิจต่างๆ ไม่เร่งปรับตัวก็จะมีความเสี่ยงมากขึ้นที่จะสูญเสียความสามารถแข่งขันในเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ

 

แม้หลายธุรกิจที่เผชิญความเสี่ยงจะเป็นกลุ่มที่ต้องระมัดระวัง แต่บาง Subsegment สามารถเติบโตได้หากสามารถปรับตัวให้สอดรับ Mega trends

 

ธุรกิจที่ปรับตัวช้าหรือไม่พร้อมตอบโจทย์โลกยุคใหม่มีความเสี่ยงสูงที่จะสูญเสียความสามารถในการแข่งขันและถูกตัดออกจากห่วงโซ่การผลิตโลก ตัวอย่างเช่น ธุรกิจที่ไม่สอดรับโครงสร้างประชากรใหม่ ไม่ปรับตัวตาม Mega trends หรือแนวทางความยั่งยืน ธุรกิจที่ไม่มีการลงทุนด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี กลุ่มธุรกิจเหล่านี้มีแนวโน้มกลายเป็น Sunset segment รายได้และมาร์จินลดลงต่อเนื่อง และเสี่ยงทยอยหายไปจากตลาด หากไม่เร่งปรับโมเดลธุรกิจเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและตอบโจทย์ความต้องการของโลกยุคใหม่ ขณะที่บาง Subsegment หากสามารถปรับตัวให้สอดรับ Mega trends ได้ จะสามารถคว้าโอกาสเติบโตต่อได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว ตัวอย่างเช่น กลุ่มผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ที่แม้ว่าจะเผชิญการแข่งขันที่รุนแรง แต่หากสามารถผลิตสินค้าที่ตอบโจทย์เทรนด์โลก อย่างเช่นด้าน AI ก็ยังมีโอกาสเติบโตได้ หรือกลุ่มสินค้าเกษตรและอาหาร ที่ยังมีโอกาสหากสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มสูง อย่างเช่น ผลิตสินค้าเกษตรที่ตอบโจทย์ความยั่งยืน Smart agriculture หรือผลิตภัณฑ์อาหารที่เป็น Functional food และ Medical food เป็นต้น

 

ผู้ประกอบการสามารถใช้กลยุทธ์ READY เพื่อรับมือความท้าทายและคว้าโอกาสใหม่

 

SCB EIC เสนอกลยุทธ์การปรับตัวของธุรกิจท่ามกลางความเสี่ยงรอบด้านและคว้าโอกาสใหม่ที่รออยู่ข้างหน้า ดังนี้

 

R – Repositioning : การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยพัฒนาสินค้า/บริการให้มีมูลค่าเพิ่ม เช่น มีนวัตกรรมและมีคุณภาพสูงเพื่อสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง ตลอดจนตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงเร็ว ขณะเดียวกัน ต้องมีการกระจายตลาดและมองหาตลาดใหม่ๆ ที่มีศักยภาพเพื่อช่วยลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาตลาดใดตลาดหนึ่งมากเกินไป และลดความเสี่ยงจากปัญหาห่วงโซ่อุปทานสะดุด นอกจากนี้ ผู้ประกอบการควรประเมินศักยภาพการแข่งขันของธุรกิจให้สอดคล้องกับ Mega trends และ Supply chain ที่เปลี่ยนแปลงไป ตลอดจนปรับกระบวนการทางธุรกิจ ได้แก่ รูปแบบการทำงานแบบ Agile management ให้ยืดหยุ่นต่อการเปลี่ยนแปลง หรือการนำแนวคิด Lean operations ที่เน้นเพิ่มประสิทธิภาพ ลดความสูญเสีย มาปรับใช้ในการดำเนินธุรกิจ

 

E – ESG principle : การวาง ESG roadmap ให้ชัดเจนและผนวกเป้าหมายกับกลยุทธ์องค์กร รวมไปถึงการยกระดับสินค้าและบริการให้สอดคล้องกับ Circular economy และ Low-carbon Lifestyle โดยนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจและลดการปล่อยคาร์บอน ขณะเดียวกัน ยังต้องปรับตัวให้สอดรับกับกฎระเบียบใหม่ที่เกี่ยวกับ ESG ทั้งนี้นอกจากการวาง Roadmap ขององค์กรไปสู่ความยั่งยืนแล้ว หากผู้ประกอบการสามารถปรับตัวให้สอดรับกับเทรนด์ความยั่งยืนได้แล้ว ก็สามารถคว้าโอกาสหันไปเจาะตลาดที่ให้ความสำคัญกับประเด็นความยั่งยืนได้มากขึ้นด้วย อาทิ ตลาด EU ที่มีการบังคับใช้มาตรการกีดกันการค้าที่เข้มงวดสำหรับสินค้าที่ปล่อยคาร์บอนสูงๆ หรือลูกค้ากลุ่ม Gen Z ที่ให้ความสำคัญกับประเด็นด้านความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อม

 

A – Alliance : การสร้างพันธมิตรในห่วงโซ่อุปทานจะช่วยเพิ่มศักยภาพการแข่งขันและลดต้นทุน โดยสามารถร่วมกันพัฒนาสินค้า จับกลุ่มเป็นคลัสเตอร์เพื่อขยายตลาดและเพิ่มอำนาจต่อรอง หรือสร้างแพลตฟอร์มใหม่เพื่อหาโอกาสทางธุรกิจ โดยเฉพาะ SMEs ที่ยังมีข้อจำกัดในการดำเนินธุรกิจ การสร้างพันธมิตรจะช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันมากขึ้น นอกจากนี้ ผู้ประกอบการยังอาจหาพันธมิตรหรือมีการควบรวมกิจการเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันและสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ รวมถึงการร่วมมือกับต่างประเทศเพื่อรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีและองค์ความรู้ใหม่ๆ การสร้างพันธมิตรทางธุรกิจไม่เพียงช่วยเพิ่มยอดขายและพัฒนานวัตกรรม แต่ยังมีส่วนช่วยลดต้นทุนผ่านการใช้ทรัพยากรหรือระบบโลจิสติกส์ รวมถึงการทำการตลาดร่วมกัน ทำให้ต้นทุนต่อหน่วยต่ำลง และมีเงินทุนเหลือสำหรับการลงทุนเชิงกลยุทธ์ด้านอื่นๆ ในอนาคต

 

D – Digitalization : ลงทุนนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาปรับใช้ เช่น AI, ระบบ Automation เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ โดยผู้ประกอบการควรเชื่อมโยงตัวชี้วัดด้านดิจิทัลเข้ากับเป้าหมายกลยุทธ์ขององค์กร อีกทั้ง อาจใช้ประโยชน์จาก Digital channel มากขึ้น เช่น ใช้ Omni-channel เพื่อเชื่อมโยงการบริการทั้งออนไลน์และออฟไลน์ และเข้าใจลูกค้าให้ลึกและละเอียดขึ้นกว่าเดิม ซึ่งข้อมูลเชิงลึกเหล่านี้จะช่วยให้ภาคธุรกิจสามารถนำไปวิเคราะห์ต่อยอด เพื่อออกแบบพัฒนาสินค้าและบริการ รวมถึงทำโพรโมชันที่ตอบโจทย์และตรงใจลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น สอดรับกับเทรนด์การสร้างประสบการณ์เฉพาะบุคคล (Personalization) และมีส่วนช่วยสร้างความจงรักภักดีต่อแบรนด์ (Brand loyalty)

 

Y – Youthfulness : สร้างวัฒนธรรมองค์กรที่มีแนวคิดแบบคนรุ่นใหม่ มีความกระตือรือร้น คล่องตัวสูง และพร้อมปรับเปลี่ยนอยู่เสมอ เปิดรับความคิดสร้างสรรค์ภายในองค์กรเพื่อนำไปสู่การพัฒนาสินค้าและบริการ รวมถึงจัดทำแผน Reskill/Upskill พนักงาน โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยี อีกทั้ง อาจมีการ Diversify ไปยังธุรกิจอื่นๆ เพื่อลดการพึ่งพารายได้จากช่องทางเดียว โดยอาจสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญเพื่อขยายไปสู่ธุรกิจอื่นๆ และใช้ประโยชน์จากสินทรัพย์ที่มีในการสร้างรายได้ประจำเพิ่มเติม

 

ในขณะที่ผู้ประกอบการกำลังเร่งปรับตัว ภาครัฐยังมีส่วนสำคัญที่จะช่วยผลักดันและเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้ภาคธุรกิจสามารถปรับตัวและเติบโตได้อย่างยั่งยืน

 

ในการผลักดันให้ผู้ประกอบการสามารถปรับตัวท่ามกลางความท้าทายรอบด้าน ภาครัฐจะมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนภาคธุรกิจโดยดำเนินมาตรการเชิงรุก โดย ระยะสั้น ต้องสร้างความเชื่อมั่นผ่านนโยบายที่ชัดเจน รักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจ เสริมความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทาน ผลักดันการเจรจาการค้าระหว่างประเทศและเปิดตลาดใหม่ สนับสนุนผู้ผลิตรายย่อย พร้อมเพิ่มสภาพคล่อง ลดต้นทุนทางการเงิน และปรับโครงสร้างหนี้ SMEs เพื่อให้สามารถเข้าถึงแหล่งทุนง่ายขึ้น รวมถึงยกระดับมาตรการความปลอดภัยดิจิทัลและการท่องเที่ยวเพื่อสร้างความมั่นใจแก่ผู้บริโภคและนักลงทุน สำหรับ ระยะกลาง-ยาว ควรมุ่งเน้นผลักดันการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานโลจิสติกส์และดิจิทัล ผลักดันอุตสาหกรรมใหม่ที่ตอบโจทย์เทรนด์โลก ขณะเดียวกัน มุ่งส่งเสริมให้อุตสาหกรรมดั้งเดิมที่ยังมีศักยภาพ

 

แต่อาจประสบปัญหาเชิงโครงสร้าง สามารถพลิกฟื้นและอยู่รอดได้ในสนามการค้าที่แข่งขันรุนแรง โดยใช้เครื่องมือสำคัญ อาทิ การสนับสนุนยกระดับนวัตกรรม ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยี และการพัฒนาทักษะใหม่ การปรับปรุงนโยบายการลงทุน การปรับปรุงกฎหมาย กฎระเบียบต่างๆ และมุ่งเน้นขจัดอุปสรรคสำคัญในการดำเนินธุรกิจเพื่อให้ธุรกิจสามารถเติบโตได้อย่างเข้มแข็งและอย่างยั่งยืนในระยะยาว

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising