เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม ที่ผ่านมา กนง. มีมติเอกฉันท์ให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจาก 1.50% มาอยู่ที่ 1.25% เพื่อให้ภาวะการเงินผ่อนคลายภายใต้เศรษฐกิจที่จะชะลอลงชัดเจนและมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น อีกทั้ง ยังเป็นการบรรเทาภาระหนี้กลุ่มเปราะบางและเสริมประสิทธิผลของมาตรการทางการเงิน มองไปข้างหน้า กนง. พร้อมปรับนโยบายการเงินให้เหมาะสมกับแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อที่อาจเปลี่ยนแปลง โดยคำนึงถึงเสถียรภาพระบบการเงินระยะยาว และ Policy space ที่มีจำกัด
ด้านแนวโน้มเศรษฐกิจ เงินเฟ้อ และภาวะการเงิน กนง. ประเมินว่า
- เศรษฐกิจจะชะลอลงชัดเจน จากการบริโภคภาคเอกชนที่ชะลอลงตามรายได้ การส่งออกที่จะได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีนำเข้าสหรัฐฯ และมีปัจจัยลบ/ปัจจัยเสี่ยงเข้ามาเพิ่มเติม ได้แก่ (1) สถานการณ์น้ำท่วมภาคใต้ จะยังส่งผลลบต่อเศรษฐกิจต่อเนื่องไปถึงช่วงปีหน้า และ (2) ความไม่แน่นอนทางการเมือง อาจทำให้งบประมาณปี 2027 ประกาศใช้ล่าช้า
- อัตราเงินเฟ้อทั่วไปปีนี้จะเฉลี่ยติดลบ และไม่เข้ากรอบเป้าหมายในปีหน้า โดยยังคงเป็นผลจากราคาพลังงาน
ที่ปรับลดลงตามราคาพลังงานโลก และมาตรการอุดหนุนของภาครัฐ โดยความเสี่ยงภาวะเงินฝืดยังมีไม่มาก - สินเชื่อหดตัวต่อเนื่อง จากทั้งความต้องการสินเชื่อที่ลดลงตามการชะลอลงของอุปสงค์ในประเทศ และสถาบันการเงินที่ยังระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อ เงินบาทแข็งค่านำสกุลเงินภูมิภาค ตามแนวโน้มนโยบายการเงินสหรัฐฯ และปัจจัยเฉพาะของไทย
- 3 ปัจจัยหลักที่ กนง. จะติดตาม ได้แก่ 1) มาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่อาจมีออกมาเพิ่มเติม 2) การขยายตัวของสินเชื่อและการแข็งค่าของเงินบาท และ 3) ความเสี่ยงเงินฝืด
SCB EIC มองว่าการสื่อสารของ กนง. ในครั้งนี้ต่างจากการสื่อสารในครั้งก่อนๆ หลายประเด็น ได้แก่
- กนง. มองเศรษฐกิจชะลอตัวลง “ชัดเจน” ในปีหน้า โดยเน้นสื่อสารปัจจัยลบ และความเสี่ยงเศรษฐกิจในระยะข้างหน้ามากกว่าการสื่อสารถึงตัวเลขเศรษฐกิจและการส่งออกที่ออกมาค่อนข้างดีในช่วงที่ผ่านมา และเปิดเผยมุมมองต่อเศรษฐกิจปี 2027 เพิ่มเติมด้วยว่าจะฟื้นตัวดีขึ้นแต่จะยังขยายตัวต่ำกว่าศักยภาพ ซึ่งเป็นการสื่อสารให้ภาพเศรษฐกิจไปข้างหน้าที่ค่อนข้างระมัดระวัง โดยประเมินว่าเศรษฐกิจปี 2027 จะขยายตัวได้เพียง 2.3%YOY
- กนง. จะติดตามความเสี่ยงภาวะเงินฝืดอย่าง “ใกล้ชิด” โดยเริ่มสื่อสารถึงแรงกดดันด้านอุปสงค์ในประเทศเป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นการสื่อสารเพิ่มเติมจากการประชุมรอบก่อนๆ ที่เน้นประเด็นว่าความเสี่ยงเงินฝืดมีน้อย
โดยไม่ได้มีการกล่าวถึงปัจจัยด้านอุปสงค์มากนัก แต่ในรอบนี้เริ่มพูดถึงปัจจัยด้านอุปสงค์ที่มีบทบาทประคอง
เงินเฟ้อทั่วไปได้น้อยลง - กนง. กังวลบาทแข็งค่านำสกุลเงินภูมิภาค พร้อมพิจารณามาตรการลดแรงกดดันบาทแข็ง ซึ่งโดยปกติแล้ว กนง. มักไม่กล่าวถึงมาตรการดูแลเงินบาทใน Statement
โดยรวม Statement ในครั้งนี้ให้ท่าทีผ่อนคลาย (Dovish tone) มากกว่าการสื่อสารครั้งก่อนๆ และให้น้ำหนักกับความเสี่ยงของเศรษฐกิจ และการตึงตัวของภาวะการเงินชัดเจนมากขึ้น
IMPLICATIONS
SCB EIC ประเมินว่า กนง. จะลดดอกเบี้ยอีกครั้งภายในครึ่งแรกของปีหน้า เนื่องจาก
- อัตราดอกเบี้ยนโยบายต้องสอดคล้องกับ เศรษฐกิจไทยที่จะโตต่ำกว่าศักยภาพไปอีกอย่างน้อย 2 ปี
- โดย กนง. มองว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2026 จะขยายตัวเพียง 1.5%YOY (เท่ากับประมาณการของ SCB EICณ ธันวาคม 2025) เป็นระดับการเติบโตที่ต่ำที่สุดนอกช่วงวิกฤต ตลอดช่วง 30 ปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ กนง. ยังมองว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในปี 2027 จะยังทำได้ไม่เต็มที่เนื่องจากเผชิญแรงกดดันหลายด้าน
จึงทำให้เศรษฐกิจในช่วง 3 ปีนี้ (2025 – 2027) มีแนวโน้มขยายตัวเฉลี่ยเพียง 2.0%YOY ซึ่งต่ำกว่าระดับศักยภาพและต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของเศรษฐกิจไทยในอดีตอย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้น อัตราดอกเบี้ยนโยบายอาจต้องปรับลดลงอีกเพื่อให้สอดคล้องกับภาพเศรษฐกิจที่จะขยายตัวต่ำและฟื้นตัวได้ไม่เต็มที่
- โดย กนง. มองว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2026 จะขยายตัวเพียง 1.5%YOY (เท่ากับประมาณการของ SCB EICณ ธันวาคม 2025) เป็นระดับการเติบโตที่ต่ำที่สุดนอกช่วงวิกฤต ตลอดช่วง 30 ปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ กนง. ยังมองว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในปี 2027 จะยังทำได้ไม่เต็มที่เนื่องจากเผชิญแรงกดดันหลายด้าน
- อัตราเงินเฟ้อไทยที่อยู่ต่ำมากเป็นระยะเวลายาวนาน อาจกดดันการทำกำไรของภาคธุรกิจและการเติบโตของรายได้ครัวเรือน
- ในช่วงที่ผ่านมาระดับราคาผู้บริโภคไทยแทบไม่เติบโตเลย ซึ่งไม่สอดคล้องกับทิศทางของเศรษฐกิจประเทศในภูมิภาคส่วนใหญ่ แต่มีทิศทางคล้ายกับระดับราคาผู้บริโภคจีนซึ่งประสบปัญหาอุปสงค์ในประเทศซบเซาที่ค่อนข้างรุนแรง และหากดูจากประมาณการอัตราเงินเฟ้อทั่วไปของ ธปท. อัตราเงินเฟ้อทั่วไปของไทยในปี 2024-2026 จะเฉลี่ยอยู่ที่เพียง 0.2%
- อัตราเงินเฟ้อที่ต่ำมากนี้อาจกดดันการทำกำไรของภาคธุรกิจที่ไม่สามารถปรับราคาสินค้าและบริการเพิ่มได้ ซึ่งจะส่งผลมายังรายได้ของครัวเรือนที่เติบโตได้ต่ำ นอกจากนี้ อาจทำให้ครัวเรือนเผชิญกับภาวะ “Debt deflation” ผ่านภาระหนี้ครัวเรือนที่ลดลงช้า เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อไม่ได้อยู่ในระดับเหมาะสมที่จะช่วยลดภาระหนี้ครัวเรือนในรูปมูลค่าที่แท้จริงได้ ทั้งหมดนี้จะเป็นกลไกที่ลดทอนกำลังซื้อของภาคครัวเรือน และอาจเพิ่มความเสี่ยงที่เศรษฐกิจไทยจะเข้าสู่ภาวะเงินฝืด (Deflation)
- ภาวะการเงินจะยังคงตึงตัวต่อภาคครัวเรือนและ SMEs ขณะที่ความต้องการสินเชื่อของธุรกิจขนาดใหญ่ลดลง สะท้อนผ่านยอดสินเชื่อคงค้างที่หดตัวเป็นวงกว้าง นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายลงจึงจะเข้ามามีบทบาทในการลดต้นทุนทางการเงินและบรรเทาภาระหนี้ ซึ่งจะช่วยให้ภาวะการเงินโดยรวมตึงตัวน้อยลง
สำหรับมุมมองนโยบายการเงินในระยะข้างหน้า SCB EIC ยังคงประเมินว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายจะปรับลดลงอีกครั้งมาอยู่ที่ 1.0% ภายในครึ่งแรกของปี 2026 เพื่อประคับประคองเศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มเติบโตต่ำผ่านการลดต้นทุนทางการเงิน บรรเทาภาระหนี้สิน และเพื่อเพิ่มอัตราเงินเฟ้อทั่วไปที่มีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำกว่ากรอบเป้าหมายให้สูงขึ้น ลดความเสี่ยงของภาวะ Debt deflation ที่อาจกดดันการใช้จ่ายในประเทศมากขึ้นได้ในระยะข้างหน้า
อ่านบทวิเคราะห์ฉบับออนไลน์ได้ที่:


