ปีนี้ครบรอบ 10 ปีเต็มพอดีที่โลกใบนี้ได้ทำความรู้จักกับ Apple Watch นาฬิกาอัจฉริยะที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของผู้คนหลายล้านคนทั่วโลกให้เป็นไปในทางที่ดีขึ้น และแน่นอนเป็นอุปกรณ์สุดสมาร์ทที่ขายดีที่สุดในโลกด้วยตั้งแต่ปี 2015
เพียงแต่ Apple ไม่ได้มีการทำอะไรเป็นพิเศษให้ Apple Watch แต่อย่างใด โดยในงานเปิดตัวเมื่อเดือนกันยายนได้มีการแนะนำตัวผลิตภัณฑ์ในไลน์นี้ใหม่ 3 รุ่น อันได้แก่ Apple Watch Series 11, Apple Watch SE3 และ Apple Watch Ultra 3 ซึ่งเป็นตัวท็อปของรุ่น แต่ก็อาจจะนับเป็นความพิเศษเล็กๆได้เพราะเป็นการอัพเกรดพร้อมกันครบ 3 รุ่นเป็นครั้งแรกนับจากปี 2022
ความพิเศษเล็กๆน้อยๆนี้จึงอาจเป็นคีย์ของ Apple Watch Series 11 รุ่นใหม่ด้วย เพราะแม้การเปลี่ยนแปลงนั้นจะดูเล็กน้อยจนคิดถึงคำว่า ‘มินิมอล’ (Minimal) แต่ก็เป็นความน้อยแต่มาก
มี 2 อย่างที่มีการเปลี่ยนแปลงชัดเจน
1. ตัวเรือนสีใหม่ และการเคลือบหน้าปัด
สำหรับผู้เขียนที่หลงรักในความ ‘ดำเงา’ ของ Apple มาตั้งแต่ iPhone 7 การได้เห็นสีใหม่ของ Apple Watch Series 11 อย่างสี ‘Space Gray Aluminum’ (สำหรับรุ่นอะลูมิเนียมมาตรฐาน) ถือว่าถูกใจอย่างมาก เพราะดูมีความเงาวับสวย หรู และสุขุม แต่ไม่ได้ดำเข้มจนเกินไปยังรู้สึกถึงสีเทาเข้ม เหมือนจับสี Jet Black มาผสมกับสี Silver เข้าด้วยกัน
แต่การเปลี่ยนแปลงที่ตัวเรือนไม่ได้มีแค่เรื่องสี แต่ยังมีการเคลือบหน้าปัดใหม่ให้ทนทานขึ้นด้วยการเคลือบเซรามิก (Ceramic Coating) บนกระจก Ion-X ซึ่งแข็งแกร่งกว่ารุ่นที่แล้ว (Series 10) ถึง 2 เท่า
การเคลือบเซรามิก (ฟังแล้วเหมือนรถยนต์) นี้มีผลไม่ใช่แค่ทางใจ เพราะในทางปฏิบัติจริงแล้ว เท่าที่ใช้งานตามประสาผู้ชายไม่ค่อยระมัดระวัง เฉี่ยวนั่นเฉี่ยวนี่ ชนนั่นชนนี่บ้างก็ยังไม่พบร่องรอยขีดข่วนอะไรบนหน้าปัดให้จิตตกเล่น
ในวงเล็บว่าใจไม่แข็งพอจะทดสอบกันถึงขั้นเอามีดกรีดหรือทำตกลงบนพื้นคอนกรีตขนาดนั้น ส่วนเรื่องทนน้ำทนฝุ่นนั้นถือว่าตามมาตรฐานอยู่แล้ว
2. แบตเตอรี่อยู่ครบวัน แถมชาร์จไว
ความจริงในรุ่นหลังๆแบตเตอรี่ไม่ใช่ปัญหาของ Apple Watch เหมือนในรุ่นแรกๆอีกแล้วด้วยความสามารถของชิปประมวลผล ระบบปฏิบัติการ และการออกแบบแบตเตอรี่ที่มีคุณภาพดีขึ้น
แต่! นี่เป็นครั้งแรกที่ Apple Watch สามารถมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ได้ครบวัน – ในความหมายถึง 24 ชั่วโมงเท่ากับระยะเวลาที่โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ – ซึ่งมากกว่าใน Series 10 ที่แบตเตอรี่สามารถใช้งานได้นาน 18 ชั่วโมงถึง 33 เปอร์เซ็นต์
และถ้าเปิดโหมดประหยัดพลังงานจะใช้ได้นานขึ้นไปอีกถึง 38 ชั่วโมง
สำหรับผู้ใช้งานทั่วไปที่ใส่ออกไปทำงานหรือใช้ชีวิตประจำวันในตอนเช้า และกลับมาชาร์จตอนกลางคืนอยู่แล้ว ความอึดที่เพิ่มมากขึ้นอาจไม่ได้ส่งผลอย่างมีนัยสำคัญอะไรนัก แต่อย่างน้อย ‘เหลือย่อมดีกว่าขาด’ โดยในการใช้งานจริงสำหรับคนที่ตื่นเช้าราว 6 โมงและเข้านอนในเวลา 4-5 ทุ่ม แบตเตอรี่นั้นเหลือเฟือแบบสบายๆ
อย่างไรก็ดีแบตเตอรี่ที่อยู่ครบวันนั้นจะตอบโจทย์กับฟีเจอร์ใหม่อย่าง Sleep Score หนึ่งในคุณสมบัติสุขภาพใหม่ที่จะตรวจจับคุณภาพในการนอนหลับของเราได้ ทำให้เราเข้าใจตัวเองได้มากขึ้นไม่ใช่แค่ในยามตื่นแต่รวมถึงในยามนอนหลับด้วยว่าคุณภาพในการหลับของเราดีหรือไม่ เรียกว่าเราสามารถนอนหลับไปกับ Apple Watch ได้เลย
โดยที่สามารถใช้เวลาเพียงแค่ 30 นาที ในการชาร์จแบตเตอรี่จาก 0 ถึง 80 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเพียงพอสำหรับการใช้งานในวันต่อไปได้สบายๆ หรือถ้าเวลาน้อยกว่านั้น การชาร์จแค่ 15 นาทีก็เพียงพอสำหรับการใช้งานได้อีก 8 ชั่วโมง
อันนี้ลองแล้วไวจริง และช่วยได้มากในเวลาที่ลืมชาร์จตอนกลางคืน
ส่วนอื่นๆที่มีการทำให้ดีขึ้น ยังมีเรื่องของการเชื่อมต่อโดย Apple Watch Series 11 รองรับการเชื่อมต่อแบบ 5G (สำหรับรุ่นเซลลูลาร์ ซึ่งจะมีเฉพาะที่ AIS 5G eSim) ไปจนถึงการเป็นผู้ช่วยที่ดีนอกเหนือจากเรื่องสุขภาพที่ดีอยู่เดิม (เพิ่มเติมการตรวจวัดความดัน Hypertension Notification) ก็จะเพิ่มเติมฟีเจอร์ Apple Wallet, ฟีเจอร์การแปลภาษาสด ด้วย Apple Intelligence ด้วยขุมพลังของชิป S-10
ดังนั้นแม้จะไม่ได้ดูมีการเปลี่ยนรูปร่างหน้าตาหรืออัดคุณสมบัติต่างๆแบบมีนัยสำคัญ แต่สำหรับ Apple Watch Series 11 ในสนนราคาเริ่มต้น 14,900 บาทถือว่าเป็นสมาร์ทวอทช์ที่คุ้มในแบบของมัน
การอัพเกรดแบบมินิมอลครั้งนี้อาจจะไม่สะกิดใจคนที่ใช้รุ่นก่อนหน้า แต่สำหรับคนที่ใช้รุ่นเก่ากว่านั้นอย่างต่ำ 2-3 รุ่น นี่แหละคือการอัพเกรดใหญ่ที่คุ้มค่าแน่นอน









