Glassdoor เผยแนวโน้มของเทรนด์การทำงานในปี 2026 ว่า ยังไม่หมดยุคการเลิกจ้างในหลายองค์กร แม้ตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา บริษัทขนาดใหญ่ในสหรัฐฯ ได้ทยอยประกาศปลดพนักงานในระดับหลักร้อยถึงหลายพันคนอยู่หลายระลอกไปแล้วก็ตาม
จากข้อมูลชี้ให้เห็นว่า การเลิกจ้างพนักงานในอัตราต่ำกว่า 50 คน กำลังกลายเป็นรูปแบบที่พบมากที่สุด โดยคิดเป็น 51% ในปี 2025 ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 38% ในปี 2015 สะท้อนให้เห็นว่าเทรนด์ใหม่ขององค์กรเริ่มหันมาใช้แนวทางปลดพนักงานทีละน้อยแต่ถี่ขึ้น ซึ่งคาดว่าจะส่งผลให้ความกังวลของตลาดแรงงานทวีความรุนแรงขึ้นไปอีกในปี 2026
ขณะเดียวกัน แม้การเลิกจ้างงานทีละน้อย อาจช่วยให้องค์กรหลีกเลี่ยงการถูกจับตาจากสื่อ แต่กลับสร้างให้บรรยากาศการทำงานในองค์กรตึงเครียดขึ้น เนื่องจากพนักงานจะรู้สึกกังวล ไม่มั่นคง และไม่ไว้วางใจต่อบริษัท ซึ่งสอดรับกับผลวิจัยที่พบว่า หลังการปลดพนักงานหนึ่งครั้ง ความรู้สึกด้านลบของพนักงานที่ยังคงอยู่ในบริษัทต้องใช้เวลากว่า 2 ปี จึงจะปรับตัวกลับสู่ระดับเดิมได้
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- บริษัทเทคโนโลยี 218 แห่ง ปลดพนักงานรวม 1.12 แสนตำแหน่ง ในปีนี้ นักวิชาการตั้งคำถาม เป็นเพราะ AI หรือเศรษฐกิจ
- คลื่นการปลดคนกำลังมา? ผลสำรวจชี้ 25% ขององค์กรไทยจ่อลดพนักงาน ‘สภาพัฒน์’ เผยอัตราว่างงานเพิ่ม-ค่าจ้างลดใน 2Q68 หลังโมเมนตัมเศรษฐกิจชะลอ
- ‘ใหญ่เทอะทะ-แข่งกันเอง’ Meta ปลดพนักงาน AI 600 คน หวังลดขนาด-เสริมอำนาจ อเล็กซานเดอร์ หวัง
ที่สำคัญ หากมีการปลดซ้ำรอบสอง ผลกระทบต่อความรู้สึกของพนักงานจะเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าตัว โดยเฉพาะในกลุ่มพนักงานคนที่มีสกิลสูง ตามด้วยผู้จัดการ และพนักงานใหม่ จะมีแนวโน้มสูญเสียความเชื่อมั่นในองค์กรมากที่สุด
นอกจากนี้ ยังพบว่า ตั้งแต่ครึ่งหลังของปี 2023 พนักงานส่วนใหญ่ให้คะแนนความพึงพอใจต่อผู้บริหารระดับสูงลดลงอย่างต่อเนื่อง และต่ำกว่าช่วงพีคในยุคโควิดระบาดอย่างมาก โดยอุตสาหกรรมที่เจอผลกระทบหนักสุด ได้แก่ การสื่อสาร ที่ปรึกษาและการบริหารจัดการ และเทคโนโลยี ซึ่งล้วนได้รับแรงสั่นสะเทือนจากปัจจัยต่างๆ เริ่มตั้งแต่ การรุกเข้ามา AI รวมถึงการควบรวมกิจการ และค่านิยมที่ให้ทำงานหนักแบบสุดโต่งในบริษัทเทคโนโลยี
ในรีวิวของ Glassdoor ระบุว่า ตั้งแต่ปี 2024 พนักงานกล่าวถึงประเด็นเชิงลบ เช่น ความไม่ไว้วางใจ การสื่อสารผิดพลาด และความหน้าซื่อใจคดของผู้บริหาร บ่อยครั้งขึ้น สะท้อนถึงปัญหาความไม่พอใจที่สะสมในหลายองค์กร
แม้ภาพรวมตลาดแรงงานจะถูกกดดันจากกระแสเลิกจ้างงาน แต่รายงานยังชี้ว่า ค่าจ้างสำหรับเด็กจบใหม่ หรือพนักงานผู้มีประสบการณ์ทำงานไม่เกิน 4 ปี กำลังเติบโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งคาดว่าจะทำให้แรงงานกลุ่มนี้มีกำลังซื้อมากขึ้นในปี 2026 หลังจากในช่วงปีที่ผ่านมา เด็กจบใหม่เผชิญกับการหางานยากขึ้น เนื่องจากหลายๆ องค์กรปรับลดตำแหน่งงานลง และใช้ AI เข้ามาทำงานแทน
Glassdoor ยังชี้ว่า เมืองดาวรุ่งในสหรัฐฯที่มีอัตราค่าจ้างสูงสุดตั้งแต่ปี 2020 ได้แก่ ยูทาห์, ไอดาโฮ, ฟลอริดา, เซาท์แคโรไลนา และ เทกซัส ซึ่งกลายเป็นจุดหมายสำคัญของเด็กจบใหม่ ที่ต้องการเข้ามาสร้างโอกาสเติบโต แม้ค่าเฉลี่ยของเงินเดือนในเมืองเหล่านี้อาจไม่สูงเท่าเมืองใหญ่ก็ตาม
“อย่างไรก็ตาม เมืองเหล่านี้เป็นโอกาสที่ดีของเด็กจบใหม่ที่เพิ่งเริ่มทำงาน และต้องการพัฒนาศักยภาพและหารายได้เพื่อดูแลตัวเอง แม้จะไม่ใช่ตลาดที่ให้เงินเดือนสูงที่สุด แต่ก็เป็นเมืองที่มีค่าจ้างเติบโตเร็วกว่าค่าเฉลี่ย”
ภาพ: CandyRetriever / shutterstock
อ้างอิง:


