×

เรือดำน้ำนิวเคลียร์ สมดุลใหม่คาบสมุทรเกาหลี ยุทธศาสตร์ปิดล้อมจีน และโจทย์ความมั่นคงภูมิภาค

19.11.2025
  • LOADING...
เรือดำน้ำนิวเคลียร์ สมดุลใหม่คาบสมุทรเกาหลี ยุทธศาสตร์ปิดล้อม จีน และโจทย์ความมั่นคงภูมิภาค

เรือดำน้ำในแง่หนึ่งเป็นเครื่องมือแสดงแสนยานุภาพทางทหารของชาติมหาอำนาจ แต่ความสำคัญแท้จริงคืออำนาจป้องปรามเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Deterrence) ที่ช่วยยับยั้งไม่ให้ชาติปฏิปักษ์ทำการโจมตีก่อน (First Strike)

 

 

เพราะการมีเรือดำน้ำเป็นหลักประกันความมั่นคงว่าประเทศนั้นมีขีดความสามารถในการโจมตีกลับครั้งที่ 2 (Second-Strike Capability) ซึ่งเป็นศัพท์เทคนิคทางการทหารที่หมายความว่า หากมีประเทศใดโจมตีประเทศที่ครอบครองเรือดำน้ำ ประเทศนั้นก็มีความเสี่ยงถูกโจมตีกลับด้วยขีปนาวุธทำลายล้างสูงจากเรือดำน้ำที่เราไม่รู้ตำแหน่งหรือพิกัดของมันแน่ชัดว่าอยู่แห่งหนใดของมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ ดังนั้นหากใครคิดโจมตีก่อนย่อมต้องคิดหนักถึงผลลัพธ์ร้ายแรงที่จะตามมา

 

ขณะเดียวกันการมีเรือดำน้ำพลังนิวเคลียร์ที่มีเทคโนโลยีซับซ้อนกว่าเรือดำน้ำดีเซลแบบในอดีตยังช่วยเพิ่มความได้เปรียบในแง่ของระยะเวลาในการปฏิบัติการใต้น้ำที่นานกว่าด้วย

 

ในสัปดาห์นี้มีความเคลื่อนไหวสำคัญที่อยู่ในเรดาร์แวดวงการทหารและนักวิชาการสายความมั่นคง เมื่อรัฐบาลเกาหลีใต้ประกาศบรรลุข้อตกลงในการร่วมมือกับสหรัฐอเมริกาสร้างเรือดำน้ำพลังนิวเคลียร์

 

ความร่วมมือนี้บ่งชี้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และเกาหลีใต้ที่ยกระดับใกล้ชิดขึ้น แต่ขณะเดียวกันก็สร้างความวิตกกังวลว่าอาจนำไปสู่การแข่งขันสะสมอาวุธในภูมิภาค ท่ามกลางความขัดแย้งในคาบสมุทรเกาหลีที่เกาหลีใต้เผชิญหน้ากับเกาหลีเหนือ และการขยายอิทธิพลทางทะเลของจีน

 

เหตุผลของการมีเรือดำน้ำนิวเคลียร์ของเกาหลีใต้นั้นตรงไปตรงมา ประธานาธิบดีอีแจ-มยอง บอกกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ในระหว่างการประชุมสุดยอด APEC เมื่อเดือนที่แล้วว่าเกาหลีใต้จำเป็นต้องมีเรือดำน้ำเพื่อต่อกรกับภัยคุกคามของเกาหลีเหนือ

 

ขณะที่ อันกยูแพค รัฐมนตรีกลาโหมของเกาหลีใต้ ย้ำเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า เรือดำน้ำนิวเคลียร์จะเป็น ‘ความสำเร็จอันน่าภาคภูมิใจ’ สำหรับเกาหลีใต้ และเป็นก้าวกระโดดที่สำคัญในการเสริมเขี้ยวเล็บป้องกันประเทศเพื่อต้านทานเกาหลีเหนือ อย่างไรก็ตาม การมีอยู่ของเรือดำน้ำนิวเคลียร์เกาหลีใต้ ไม่ใช่แค่ส่งผลกระทบต่อเกาหลีเหนือเท่านั้น แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าในทางยุทธศาสตร์นั้นมีนัยต่อการแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์ในบริเวณที่จีนมีอิทธิพลทางทหารอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ด้วย

 

นัยสำคัญของดีลเรือดำน้ำนิวเคลียร์ต่อยุทธศาสตร์ความมั่นคงของภูมิภาค และการปิดล้อมจีน

 

พ.อ.นันทสิทธิ์ คล้ายสีเงิน ผู้เชี่ยวชาญยุทธศาสตร์ความมั่นคงระหว่างประเทศ ให้ความเห็นกับ THE STANDARD ว่า ข้อตกลงเรือดำน้ำนิวเคลียร์ระหว่างสหรัฐฯ กับเกาหลีใต้เป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าโครงสร้างความมั่นคงในเอเชียตะวันออกกำลังก้าวเข้าสู่ยุคที่ซับซ้อนกว่าเดิม ความร่วมมือครั้งนี้ไม่ใช่เพียงการพัฒนาความร่วมมือทางทหาร แต่เป็นการส่งสารเชิงยุทธศาสตร์ว่าเกาหลีใต้ไม่ได้อยู่ในสถานะผู้รับความช่วยเหลืออีกต่อไป แต่เริ่มขยับขึ้นมามีบทบาทมากขึ้น ในฐานะผู้ร่วมสร้างสมดุลของภูมิภาคร่วมกับสหรัฐฯ

 

ภายใต้ข้อตกลงใหม่นี้จะทำให้เกาหลีใต้กลายเป็นชาติที่ 7 ของโลกที่มีเรือดำน้ำนิวเคลียร์ประจำการ ต่อจากสหรัฐฯ จีน รัสเซีย สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส และอินเดีย โดยเอกสารแถลงการณ์ที่เผยแพร่โดยทำเนียบขาวของสหรัฐฯ ระบุว่า สหรัฐฯ จะทำงานอย่างใกล้ชิดกับเกาหลีใต้เพื่อสนับสนุนสิ่งจำเป็นต่างๆ สำหรับโครงการนี้ รวมถึงช่องทางในการจัดหาเชื้อเพลิงป้อนเตาปฏิกรณ์ด้วย

 

ในอดีตที่ผ่านมา ถึงแม้สหรัฐฯ จะเป็นประเทศผู้ส่งออกอาวุธยุทโธปกรณ์รายใหญ่ที่สุดของโลก แต่สำหรับเรือดำน้ำนิวเคลียร์นั้น สหรัฐฯ ไม่เคยส่งออกให้ใครเลย แม้สหรัฐฯ จะมีเรือดำน้ำนิวเคลียร์มานานหลายสิบปีแล้วก็ตาม เพราะถือเป็นชั้นความลับขั้นสูงสุด ด้วยเหตุนี้ นาวาตรี ดร.บดินทร์ สันทัด นักศึกษา วปอ.บอ.2 และนักวิเคราะห์เทคโนโลยีป้องกันประเทศ จึงมองว่ากรณีนี้ถือเป็น Rare Case หรือกรณีที่พบเห็นได้ยากยิ่ง

 

สอดคล้องกับ พ.อ.นันทสิทธิ์ ที่มองว่า “เทคโนโลยีเรือดำน้ำนิวเคลียร์เป็นเทคโนโลยีที่ประเทศมหาอำนาจมักปกปิดอย่างเข้มงวด และเลือกถ่ายทอดให้เฉพาะพันธมิตรที่มีความไว้วางใจสูงเป็นพิเศษ การตัดสินใจถ่ายทอดให้เกาหลีใต้จึงสะท้อนระดับความเชื่อมั่นทางยุทธศาสตร์ที่ลึกมากกว่าที่เคย”

 

“เมื่อเกาหลีใต้มีเรือดำน้ำนิวเคลียร์แล้ว จะเปิดพื้นที่ปฏิบัติการใหม่ ทั้งในทะเลจีนตะวันออกและมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันตก ซึ่งเป็นพื้นที่ที่สหรัฐฯ และจีนแข่งขันกันอย่างเข้มข้น การมีส่วนร่วมของเกาหลีใต้ในพื้นที่เหล่านี้ย่อมมีนัยที่ช่วยปรับสมดุลทางอำนาจในระดับภูมิภาคอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้” พ.อ.นันทสิทธิ์ กล่าวเสริม

 

ขณะที่ นาวาตรี ดร.บดินทร์ มองว่า ข้อตกลงร่วมสร้างเรือดำน้ำนิวเคลียร์สหรัฐฯ- เกาหลีใต้นี้ เป็นการขยายวงหรือต่อยอดมาจากกรอบความร่วมมือกลุ่ม AUKUS ซึ่งเป็นดีลถ่ายทอดเทคโนโลยีอาวุธคล้ายๆ กันระหว่างสหรัฐฯ อังกฤษ และออสเตรเลีย และสำเร็จไปในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา โดย AUKUS เป็นความพยายามปิดล้อมจีนทางใต้ ส่วนความร่วมมือกลุ่มพันธมิตรสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ หรือ NATO มุ่งปิดล้อมจีนและรัสเซียทางตะวันตก ขณะที่โครงการความร่วมมือกับเกาหลีใต้นี้เป็นการวางหมากปิดล้อมจีนทางตะวันออก

 

พ.อ.นันทสิทธิ์ กล่าวเสริมว่า ดีลนี้ไม่ใช่เพียงเรื่องเทคโนโลยีเรือดำน้ำเท่านั้น แต่เป็นสัญญาณว่าภูมิภาคกำลังก้าวไปสู่สถาปัตยกรรมความมั่นคงแบบใหม่ที่ประเทศในภูมิภาคมีบทบาทมากขึ้น ไม่ใช่ให้สหรัฐฯ เป็นผู้กำหนดทิศทางเพียงฝ่ายเดียวเหมือนในอดีตอีกต่อไป

 

ดุลอำนาจใหม่บนคาบสมุทรเกาหลี?

 

เมื่อจีน เกาหลีเหนือ เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น แชร์น่านน้ำร่วมกันในบริเวณคาบสมุทรเกาหลี รวมถึงทะเลที่มีอาณาเขตติดต่อกัน การมีอาวุธทางยุทธศาสตร์ใหม่ย่อมส่งผลต่อดุลอำนาจทางทหารในบริเวณดังกล่าวอย่างมีนัยสำคัญ

 

อนาลโย กอสกุล ผู้สังเกตการณ์การทหารอิสระ ให้ความเห็นในเรื่องนี้ว่า เรือดำน้ำนิวเคลียร์จะเปลี่ยนดุลยภาพกำลังรบในคาบสมุทรเกาหลีอย่างแน่นอน ถึงแม้การต่อเรือดำน้ำนิวเคลียร์ของเกาหลีใต้จะมุ่งตอบสนองโดยตรงต่อโครงการต่อเรือดำน้ำนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือเพื่อให้ดุลยภาพทางทหารกลับสู่จุดเดิมก็ตาม แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกำลังเปลี่ยนสมการในภูมิภาคใหม่ และถ้ามองในทางกลับกัน การที่เกาหลีใต้มีเรือดำน้ำนิวเคลียร์ก็อาจทำให้ดุลยภาพทางทหารในภูมิภาคเอเชียตะวันออกมีความสมดุลยิ่งขึ้น เพราะเท่ากับว่าเกาหลีใต้ก็จะมีเรือดำน้ำนิวเคลียร์ใช้งานเหมือนกับจีนและรัสเซียด้วย

 

นาวาตรี ดร.บดินทร์ มองว่า ดีลนี้ถือเป็น Arms Dynamics ที่เหนือกว่าการซื้ออาวุธทั่วไป แต่เป็นการยกระดับขีดความสามารถที่เดิมเกาหลีใต้ต่อเรือดำน้ำดีเซลไฟฟ้าได้อยู่แล้ว ให้เป็นเรือดำน้ำที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานนิวเคลียร์ได้ด้วย

 

แต่ในระยะสั้น นาวาตรี ดร.บดินทร์ ยังมองไม่เห็นพลวัตที่ชัดเจนมากนัก เพราะโครงการนี้ถือเป็นโครงการระยะยาว และเป็นเรื่องของ Technology Transfer ไม่ใช่การซื้อขายตามปกติ แต่เมื่อโครงการสำเร็จแล้ว เกาหลีใต้จะสามารถต่อเองได้ในประเทศ การครอบครองเรือดำน้ำที่เป็นอาวุธยุทธศาสตร์น่าจะสร้างความหวาดระแวงในภูมิภาคอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยที่ผ่านมา จีนเองก็เริ่มตอบโต้ด้วยการต่อเรือบรรทุกเครื่องบินและเรือดำน้ำในประเทศเช่นกัน

 

“แต่ด้วยจีนมีพื้นฐานเทคโนโลยีจากรัสเซียและจากการวิจัยพัฒนาด้วยตนเอง อัตราเร่งของการพัฒนาจึงช้ากว่าการรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากประเทศที่มีระดับเทคโนโลยีขั้นสูงที่สุกงอมแล้วแบบสหรัฐฯ” นาวาตรี ดร.บดินทร์ กล่าว

 

และคล้ายกัน ตามความเห็นของ พ.อ.นันทสิทธิ์ นั้น การที่เกาหลีใต้มีเรือดำน้ำนิวเคลียร์เป็นของตนเอง จะทำให้ดุลอำนาจใต้น้ำบนคาบสมุทรเกาหลีเปลี่ยนไปอย่างมากตั้งแต่ในระยะกลางไปจนถึงระยะยาว

 

โดยจุดเด่นของเรือดำน้ำนิวเคลียร์อยู่ที่ความเงียบ ความเร็วใต้น้ำ และระยะเวลาปฏิบัติการที่แทบไม่จำกัด ซึ่งเพิ่มขีดความสามารถในการตรวจตราน่านน้ำเกาหลีเหนือได้อย่างต่อเนื่องจนเกาหลีเหนือคาดการณ์ได้ยากขึ้น

 

ซึ่งความได้เปรียบตรงนี้ทำให้เกาหลีเหนือสูญเสียพื้นที่ปลอดภัยใต้น้ำ จากที่เคยใช้ซ่อนเรือดำน้ำติดขีปนาวุธ ซึ่งเป็นหนึ่งในความสามารถเชิงยุทธศาสตร์สำคัญของเปียงยาง และถูกมองเป็นภัยคุกคามคาบสมุทรเรื่อยมา

 

อย่างไรก็ดี พ.อ.นันทสิทธิ์ กล่าวว่า หากมองในภาพกว้าง ดุลอำนาจเชิงยุทธศาสตร์ยังคงอยู่ในมือของระบอบเกาหลีเหนือส่วนหนึ่ง เพราะขีดความสามารถด้านอาวุธนิวเคลียร์และระบบยิงหลายแบบของเกาหลีเหนือเป็นปัจจัยที่กำหนดความเสี่ยงหลักบนคาบสมุทร แม้การมีเรือดำน้ำนิวเคลียร์ของเกาหลีใต้จะเพิ่มความได้เปรียบเชิงปฏิบัติการ แต่ยังไม่สามารถลดน้ำหนักของภัยคุกคามระบบนิวเคลียร์ได้ในทันที

 

เช่นเดียวกับ อนาลโย ที่มองว่า ถึงแม้เรือดำน้ำนิวเคลียร์เกาหลีใต้จะเปลี่ยนสมการทางทหารในภูมิภาคค่อนข้างแน่ แต่จะไม่ส่งผลให้ดุลยภาพทางทหารเปลี่ยนไปแบบหน้ามือเป็นหลังมือ ยกเว้นเมื่อเกิดกรณีที่สหรัฐฯ ตัดสินใจขายหัวรบนิวเคลียร์พร้อมขีปนาวุธติดเรือดำน้ำให้ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น รัสเซียและจีนก็อาจมองว่าสหรัฐฯ ใช้เกาหลีใต้เป็นหนึ่งในกลไกด้านความมั่นคงที่ยกระดับขึ้นในเอเชียตะวันออก

 

ดีลเรือดำน้ำนิวเคลียร์เกาหลีใต้ในสายตาจีนและเกาหลีเหนือ

 

ไม่นานนักหลังเกาหลีใต้ประกาศความร่วมมือสร้างเรือดำน้ำนิวเคลียร์กับสหรัฐฯ เกาหลีเหนือก็ออกมาเตือนผ่านสื่อทางการอย่าง KCNA ว่า ข้อตกลงระหว่างโซลกับวอชิงตันจะทำให้เกิดปรากฏการณ์ ‘โดมิโนนิวเคลียร์’ และประณามว่าดีลนี้จะทำลายเสถียรภาพความมั่นคงทางทหารในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่ไม่ใช่แค่คาบสมุทรเกาหลีเท่านั้น อีกทั้งก่อให้เกิดสถานการณ์ที่ไม่สามารถควบคุมนิวเคลียร์ในระดับโลกได้

 

พ.อ.นันทสิทธิ์ กล่าวว่า จากมุมมองของระบอบเกาหลีเหนือนั้น ข้อตกลงนี้จะถูกนำไปใช้เป็นหลักฐานยืนยันว่าประเทศของตนกำลังถูกล้อมรอบด้วยศัตรูมากขึ้น ซึ่งเป็นข้ออ้างที่เกาหลีเหนือใช้สนับสนุนการคงอยู่ของอาวุธนิวเคลียร์มาหลายปีแล้ว เกาหลีเหนือมีแนวโน้มตอบสนองด้วยการทดสอบขีปนาวุธ การสาธิตเทคโนโลยีอาวุธใหม่ หรือการยกระดับถ้อยแถลงด้านความมั่นคง เพื่อรักษาภาพลักษณ์การทำเพื่อป้องกันตนเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลเกาหลีเหนือต้องการสื่อต่อทั้งประชาชนภายในประเทศและประชาคมระหว่างประเทศ

 

ส่วนรัฐบาลจีนมองข้อตกลงระหว่างสหรัฐฯ และเกาหลีใต้ครั้งนี้ว่ามีความหมายมากกว่าการพัฒนาอาวุธของประเทศใดประเทศหนึ่ง แต่เป็นการขยายขอบเขตอิทธิพลของสหรัฐฯ เข้ามาในพื้นที่ยุทธศาสตร์ที่จีนพยายามควบคุมมายาวนาน การมีเรือดำน้ำนิวเคลียร์ของเกาหลีใต้ในอนาคตจะทำให้จีนต้องประเมินความสามารถในการเคลื่อนกำลังเรือดำน้ำของตนใหม่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

 

ด้านบรรทัดฐานทางนิวเคลียร์นั้น พ.อ.นันทสิทธิ์ ชี้ว่า จีนอาจมีข้อกังวลว่าดีลนี้จะทำให้ประเทศอื่นในภูมิภาค เช่น ญี่ปุ่น มองว่าตนก็มีสิทธิในการเรียกร้องเทคโนโลยีแบบเดียวกัน ซึ่งจะกระทบต่อโครงสร้างความมั่นคงในเอเชียตะวันออกในระยะยาว

 

แนวโน้มการแข่งขันสะสมอาวุธในภูมิภาคและความเสี่ยงเกิดสงครามใหญ่

 

มีคำเตือนจากเปียงยางต่อดีลเรือดำน้ำระหว่างวอชิงตันและโซลว่า ผลลัพธ์ของมันอาจนำไปสู่การแข่งขันสะสมอาวุธในภูมิภาคอย่างดุเดือด

 

ข้อมูลจาก Statista หากนับเฉพาะเรือดำน้ำพลังนิวเคลียร์ ซึ่งเป็นตัวเลขประมาณการนั้น สหรัฐฯ มีเรือดำน้ำประเภทนี้มากที่สุด จำนวน 66 ลำ ตามมาด้วยรัสเซีย 31 ลำ จีน 12 ลำ สหราชอาณาจักร 10 ลำ ฝรั่งเศส 9 ลำ และอินเดีย 2 ลำ

 

ส่วนรัฐบาลญี่ปุ่นเองก็กำลังพิจารณาเพิ่มงบประมาณป้องกันประเทศ รวมถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 9 เพื่อปลดล็อกให้ประเทศสามารถเข้าร่วมสงครามได้ ทำให้เกิดความกังวลเพิ่มเติมว่า การแข่งขันสะสมอาวุธในเอเชียแปซิฟิกจะทวีความเข้มข้นยิ่งขึ้น และการที่เกาหลีใต้มีเรือดำน้ำนิวเคลียร์ก็อาจทำให้ญี่ปุ่นอยากมีบ้างเช่นกัน

 

พ.อ.นันทสิทธิ์ กล่าวว่า สัญญาณภาพรวมบ่งชี้ว่าการแข่งขันทางทหารในเอเชียตะวันออกจะรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะการแข่งขันด้านเทคโนโลยี ไม่ใช่เพียงการเพิ่มจำนวนอาวุธแบบเดิมเท่านั้น เพราะเกาหลีใต้กำลังยกระดับความสามารถใต้น้ำ ขณะที่ญี่ปุ่นก็กำลังเพิ่มงบด้านความมั่นคงและพัฒนาขีดความสามารถในการโจมตีระยะไกล ส่วนจีนก็จำเป็นต้องเสริมกำลังเรือดำน้ำและระบบต่อต้านเรือดำน้ำ เพื่อรักษาความมั่นคงของตน เมื่อพิจารณาถึงปัญหาช่องแคบไต้หวันและความขัดแย้งทางทะเลระหว่างจีนกับญี่ปุ่นด้วย ดังนั้นความเคลื่อนไหวในคาบสมุทรเกาหลีจึงไม่ใช่กลไกความมั่นคงที่เกิดขึ้นเป็นเอกเทศ แต่เป็นส่วนหนึ่งของสถาปัตยกรรมความมั่นคงหลายชั้นที่เชื่อมโยงกันทั้งหมด

 

ในประเด็นว่าญี่ปุ่นจะตกขบวนหรือไม่นั้น นาวาตรี ดร.บดินทร์ ให้ความเห็นว่า สถานะของกองทัพของเกาหลีใต้มีความแอคทีฟมากกว่ากองกำลังป้องกันตนเองของญี่ปุ่น นอกจากนี้ยังส่งออกอาวุธได้สะดวกกว่า ขณะที่ญี่ปุ่นถูกจำกัดด้วยข้อกฎหมายตามรัฐธรรมนูญ ส่งผลให้เกาหลีใต้ไม่ต้องเกรงใจญี่ปุ่นมากนักในการเจรจาข้อตกลงพัฒนาเรือดำน้ำนิวเคลียร์กับสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ถือเป็นพันธมิตรหลักในภูมิภาคของสหรัฐฯ แม้เกาหลีใต้มีประวัติศาสตร์การถูกญี่ปุ่นยึดครองมาเป็นเวลานาน แต่ปัจจุบันทั้งญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ต่างมีศัตรูร่วม (Common Enemy) คือจีน ทั้งคู่อาจเห็นว่าจำเป็นต้องวางอดีตลงและเผชิญกับภัยตรงหน้ามากกว่า และเมื่อถึงวันที่ความขัดแย้งปะทุ ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ก็อาจร่วมมือกับสหรัฐฯ ในการสร้างแนวปิดล้อมฝั่งตะวันออกต่อจีน แต่สถานการณ์เช่นนี้ก็อาจทำให้สงครามขยายวงรุนแรงยิ่งขึ้นด้วย

 

อีกหนึ่งปัจจัยที่มองข้ามไม่ได้และอาจทำให้ภูมิภาคนี้ตกอยู่ในความเสี่ยงเกิดสงครามใหญ่คือ การครอบครองหัวรบนิวเคลียร์ที่ใช้กับเรือดำน้ำ ซึ่งเกาหลีใต้ยังไม่มีขีดความสามารถในการพัฒนาขีปนาวุธเหล่านี้ แต่หากสถานการณ์ไปถึงจุดที่สหรัฐฯ มองว่าจำเป็นต้องติดอาวุธนิวเคลียร์ให้เกาหลีใต้เพื่อต้านทานเกาหลีเหนือ เมื่อนั้นก็จะยิ่งทำให้สถานการณ์การแข่งขันดุเดือดมากขึ้นและเปราะบางยิ่งขึ้นจนเสี่ยงเกิดเป็นสงครามนิวเคลียร์ ซึ่งอนาลโยมองว่า จีนจะออกมาคัดค้านไม่ให้เกาหลีใต้มีอาวุธนิวเคลียร์ในครอบครองอย่างแน่นอน เพราะมองว่าไม่เป็นผลดีกับจีน และสิ่งนี้จะทำลายดุลอำนาจทางทหารในภูมิภาคอย่างถาวร

 

พ.อ.นันทสิทธิ์ กล่าวเตือนทิ้งท้ายว่า ภูมิภาคนี้กำลังก้าวสู่ภาวะการแข่งขันเชิงยุทธศาสตร์สามแนวรบในเอเชียตะวันออก ได้แก่ คาบสมุทรเกาหลี ทะเลจีนตะวันออก และช่องแคบไต้หวัน ทั้งสามพื้นที่เป็นจุดที่ผลประโยชน์ของสหรัฐอเมริกา จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ทับซ้อนกัน ทำให้การเคลื่อนไหวด้านการทหารของประเทศหนึ่งจะส่งผลต่ออีกสองพื้นที่โดยอัตโนมัติ

 

ส่วนผมอาจเรียกสามพื้นที่นี้ว่า ‘รอยเลื่อนทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ทรงพลัง’ และมีแนวโน้มจะปะทุเป็นสงครามใหญ่ได้ทุกเมื่อ

 

ภาพ: BAE Systems via Getty Images

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising