เราพูดคุยเรื่องสุขภาพจิตกันในหลายเวทีมากขึ้น แต่ทำไมตัวเลขผู้ป่วยถึงไม่ลดลง?
สถิติล่าสุดจากกรมสุขภาพจิตชี้ว่า คนไทยป่วยเป็นโรคจิตเวทสูงถึง 2.9 ล้านคน และมีภาวะเครียดหรือวิตกกังวลสูงถึง 10 ล้านคน
Session ‘The State of Mind: Reimagining Mental Health in Thailand ดูแลสุขภาพใจคนไทยอย่างไร ให้เข้าใจโลกและเข้าใจตัวเอง’ จากเวที Young Leader Dialog จึงชวนเปลี่ยนมุมมองใหม่ว่า สุขภาพจิตไม่ใช่แค่ปัญหาของใครคนหนึ่ง แต่คือ ‘ปลายทางของทุกอย่าง’ ที่สะท้อนสุขภาพของเศรษฐกิจ สังคม และประเทศ นำโดย วิคเตอร์-นพ.วิชยุตม์ เพศยนาวิน จิตแพทย์ และผู้ก่อตั้ง Understand : ห้องนั่งเล่นของหัวใจ, เบสท์-วรรจธนภูมิ ลายสุวรรณชัย Founder and Creative Director of Eyedropper Fill และ อิ๊ก-ทพญ.กัญจน์ภัสสร สุริยาแสงเพ็ชร์ ผู้ก่อตั้งแอปพลิเคชั่น อูก้า (Ooca)
สามกำแพงยักษ์ ขวางกั้นการรับมือที่โตไม่ทันปัญหา
สถานการณ์ปัจจุบันเปรียบเหมือนขนาดของปัญหาที่โตแบบ Exponential แต่การรับมือของเราโตแบบ Linear เพราะเรากำลังงัดข้อกับกำแพงหลัก 3 ด้าน
1. กำแพงอคติ (Stigma) ที่คนจำนวนมากไม่กล้ายอมรับความรู้สึกตัวเอง โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่เผชิญความคาดหวังสูง รู้สึกว่า “ทำไมฉันเหนื่อยกว่าเดิมแล้วได้เท่าเดิมหรือน้อยกว่าเดิม”
2. กำแพงการเข้าถึง (Accessibility) ต่อให้ตระหนักรู้แล้ว การนัดจิตแพทย์ก็ยากเย็น อาจต้องรอเป็นเดือน เพราะประเทศไทยมีจิตแพทย์เพียง 1 คน ต่อประชากร 100,000 ราย ซึ่งต่ำกว่าเกณฑ์โลกถึง 9-10 เท่า และการสร้างบุคลากรก็ทำได้ช้าเพราะต้องรักษามาตรฐานคุณภาพ
3. กำแพงไบแอสเชิงระบบ (Systemic Bias) ปัญหาตอนนี้เหมือน ‘น้ำท่วม’ แต่เรามัว ‘สร้างเขื่อน’ แต่ลืม ‘สร้างฝาย’ เพราะงานป้องกัน นั้นวัดผล KPI ไม่ได้ทันที ทำให้หน่วยงานรัฐหรือองค์กรอนุมัติทุนสนับสนุนได้ยาก
สุขภาพจิตคือความอยู่รอดทางเศรษฐกิจ
สุขภาพจิตที่ดีมาจากปัจจัยเชิงสังคม เศรษฐกิจ และการงานที่ดี มันคือวงจรอุบาทว์ที่วนไปมา ปัญหาเศรษฐกิจทำให้เกิดปัญหาทางใจ และในทางกลับกัน หากสุขภาพจิตไม่ดี เราก็จะไม่มีแรงไปทำเศรษฐกิจให้ดีขึ้น นี่จึงเป็นปัญหาที่วนลูปและต้องแก้ไปพร้อมกัน
ทลายกำแพงด้วยนวัตกรรม กฎหมาย และการศึกษา
เพื่อให้หลุดจากวงจรนี้ เวทีนี้จึงมีข้อเรียกร้องเชิงนโยบายเร่งด่วน
1. รัฐควรมี ‘Health Innovation Sandbox’ เพื่อให้นวัตกรรมอย่าง Telemedicine หรือ AI Tools ถูกทดสอบและนำไปใช้ได้อย่างรวดเร็ว ไม่ใช่ถูกขัดขวางจากกระบวนการอนุมัติทางกฎหมายที่ใช้เวลานาน 5-10 ปี หรือรอใบอนุญาตนาน 6 เดือน ซึ่งเป็นการคุมกำเนิดนวัตกรรม
2. รัฐต้องออกกฎหมายเพื่อปกป้องและกำหนดความชัดเจนของวิชาชีพ ทางจิตวิทยา หากขาดการปกป้อง จะเกิดการแอบอ้างโดย ‘กูรูอินเทอร์เน็ต’ ที่รับค่าตอบแทนสูงกว่านักจิตวิทยาที่มีคุณวุฒิ ซึ่งทำลายความน่าเชื่อถือของวงการ
3. ต้องจัดสรรงบประมาณให้กับงานเชิงรุกเพื่อป้องกัน ผ่านสื่อ นิทรรศการ และกิจกรรมสาธารณะ และข้อสี่ที่สำคัญที่สุด คือการบรรจุองค์ความรู้ด้านการดูแลสุขภาพจิตในหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน
จุดเริ่มต้นที่ง่ายที่สุดคือการเมตตาต่อตัวเอง (Self-Compassion) การดูแลตัวเองให้ดีก่อน ไม่ใช่เรื่องเห็นแก่ตัว และเป็นพื้นฐานในการดูแลผู้อื่น เมื่อเราเข้าใจและเมตตาตัวเองแล้ว จะเกิดความเข้าใจว่าคนรอบข้างก็คงรู้สึกเหมือนกับเราซึ่งทำให้เกิดการเชื่อมโยงกันได้ง่ายขึ้น


