วันนี้ (12 พ.ย.2568) สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) อัปเดตสถานการณ์การลงทุน และเศรษฐกิจของไทยและต่างประเทศ ประจำเดือนพฤศจิกายน โดย มี ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการ FETCO เป็นผู้ให้ข้อมูล
Fed ลดดอกเบี้ย ดันฟองสบู่ตลาดหุ้นไปต่อ
ดร.กอบศักดิ์ เตือนถึง ภาวะฟองสบู่ในตลาดทุนทั่วโลก ว่าจะยังดำเนินต่อไปอีกสักระยะ เนื่องจากสภาพคล่องล้นระบบ แม้ในช่วงที่ผ่านมาธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะพยายามดูดสภาพคล่องออก เพื่อลดความร้อนแรงของเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน Fed ได้ประกาศยุติมาตรการลดขนาดงบดุล (Quantitative Tightening) แต่ขนาดงบดุลยังอยู่ในระดับสูงที่ 6.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากระดับปกติที่ 1-2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
“การที่ Fed ลดดอกเบี้ย สภาพคล่องเยอะ หมายคำว่าต้นทุนเก็งกำไรจะน้อยลงเรื่อยๆ ทำให้การเก็งกำไรมีอยู่อย่างต่อเนื่อง ภาวะฟองสบู่จึงยังไปต่อได้อีกพักนึง” ดร.กอบศักดิ์กล่าว
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ Fed จบวัฏจักรดอกเบี้ยขาลงแล้ว ธนาคารกลางทั่วโลกจะเริ่มออกมาส่งสัญญาณเตือนว่าจะเกิดวิกฤติฟองสบู่ในตลาดทุน และกลับเข้าสู่วัฏจักรการขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้ง ส่งผลให้ตลาดทุนปรับตัวลงอย่างรุนแรงคล้ายปี 2565 จึงแนะนำให้นักลงทุนเตรียมพร้อมรับมือ เมื่อภาวะฟองสบู่จบลง
“ครั้งนี้ฟองสบู่มันเยอะ ก็จะ (ปรับฐาน) แรงพอสมควรเช่นเดียวกัน อยากให้ทุกคนระวังตัวในการลงทุน อย่าลงเงินทั้งหมด ให้ลงทุนด้วยเงินเย็น ควรถอนเงินต้นออกมา เหลือไว้แค่กำไรที่สามารถเสียได้ ทำให้สามารถอยู่กับตลาดช่วงที่มีการเหวี่ยงขึ้นลงอย่างรุนแรงได้” ดร.กอบศักดิ์กล่าว
ช่วงที่ผ่านมาราคาสินทรัพย์ทั่วโลกที่เคยขึ้นไปทำจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ (All time high) มีการปรับตัวขึ้นลงอย่างรุนแรง เช่น ในเดือนตุลาคม ราคาทองคำ ปรับลดลลง 10% จาก 4,400 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เป็น 3,900 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ภายในหนึ่งสัปดาห์
ด้านดัชนีหุ้นหลักของโลก อย่าง Nikkei ปรับตัวลงจาก 52,500 จุด มาอยู่ที่ 49,000 จุด ในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน ในขณะที่หุ้นรายตัวอย่าง Nvidia ราคาปรับลดลง 15% ใน 10 วัน จาก 210 ดอลลาร์สหรัฐฯ มาอยู่ที่ 180 ดอลลาร์สหรัฐฯ
ทั้งนี้ในระยะต่อไป เราจะเห็นปรากฏการณ์ ราคาสินทรัพย์เหวี่ยงขึ้น-ลงอย่างรุนแรงบ่อยขึ้น เพื่อทดสอบจิตใจนักลงทุน จากสภาพคล่องที่ยังล้นระบบ และวัฏจักรดอกเบี้ยขาลง
โดยมีการคาดการณ์ว่า Fed มีแนวโน้มลดดอกเบี้ยลง 0.75% มาอยู่ที่ 3% ในอีก 1 ปีข้างหน้า โดยจะคงอัตราดอกเบี้ยระดับนี้ไปอีก 2 ปี และจะเริ่มกลับ มาขึ้นดอกเบี้ยในช่วงถัดไป และหากการคัดเลือกประธาน Fed คนใหม่ในปีหน้า ได้คนของประธานาธิบดีทรัมป์มาดำรงตำแหน่ง ซึ่งมีแนวคิดดำเนินนโยบายการเงินแบบ Dovish Fed อาจลดดอกเบี้ยลงไปถึง 2.50%
เตรียมหารือทบทวนการตั้งราคาหุ้น IPO ไทย
นอกจากนี้ ดร.กอบศักดิ์ กล่าวถึง ปัญหาหุ้น IPO ที่หลายตัวเข้ามาซื้อขายแล้วราคาปรับลดลงต่ำกว่าราคาเสนอขาย จริงๆ แล้วหัวใจสำคัญคือเรื่องของการตั้งราคา หากตั้งสูงเกินไปจะทำร้ายนักลงทุนที่จองซื้อ ดังนั้นจึงต้องทบทวนเรื่องนี้ โดยจะหารือกับบริษัทหลักทรัพย์แต่ละแห่ง โดยเฉพาะที่ปรึกษาทางการเงิน (FA)
“สมัยก่อน จะเห็นว่าคนที่ได้หุ้น IPO ก็ได้ส่วนต่างราคา 5% 10% หรือบางที 20% แต่พอราคามันเกินจริงไป ทำให้เวลาที่เข้ามาในตลาด มันมีปัญหา ราคาตก 18% 20% คนจองก็เสียหายพอสมควร” ดร.กอบศักดิ์กล่าว
นอกจากนี้ ก็ต้องพยายามหาหุ้นที่เป็นอนาคตมากขึ้น จากปัจจุบันส่วนใหญ่หุ้นที่เข้ามายังเป็นธุรกิจทั่วๆ ไป ส่วนในมุมของธุรกิจที่จะขายหุ้น IPO ซึ่งปีนี้มีน้อยมาก ส่วนหนึ่งก็เป็นภาวะตลาด ซึ่งเชื่อว่ามีกลุ่มที่ชะลอการ IPO เพื่อรอภาวะตลาดดี โดยกลุ่มนี้หากภาวะตลาดดีขึ้นก็จะกลับมา
อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่า มีอีกกลุ่มที่น่ากังวล ก็คือกลุ่มที่มองว่าตลาดหุ้นไทยเป็นตลาดที่ P/E ต่ำ จึงไม่อยาก IPO ในตลาดหุ้นไทย แต่ไปตลาดอื่นแทน ซึ่งก็เป็นเรื่องที่น่าเสียใจ และจะต้องเอาจริงเรื่องการปฏิรูปตลาดทุนไทย
ความเชื่อมั่นฟื้น นักลงทุนกลับมาตลาดหุ้นไทย
สำหรับภาพรวมความเชื่อมั่นของนักลงทุนในตลาดหุ้นไทย ประจำเดือนพฤศจิกายน ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนอยู่ที่ 135.73 ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ที่ร้อนแรง ปรับดีขึ้นจากช่วงกลางปี โดยได้แรงสนับสนุนหลักจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ
ทั้งนี้หุ้นในหมวดพาณิชย์ เป็นหุ้นกลุ่มที่นักลงทุนสนใจมากที่สุด ทั้งนักลงทุนต่างชาติและนักลงทุนสถาบัน ในขณะที่นักลงทุนไทยยังคงสนใจ ภาคธนาคาร
สอดคล้องกับแนวโน้มความเชื่อมั่นในอีก 3 เดือนข้างหน้าที่อยู่ในเกณฑ์ร้อนแรงเช่นกัน จากสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมือง และความขัดแย้งตามชายแดนกัมพูชา ที่คลี่คลายลง สะท้อนจากดัชนี SET ที่เคลื่อนไหวดีขึ้น จากระดับประมาณ 1,000 จุด มายืนระยะที่ 1,300 จุด นอกจากนี้เมื่อพิจารณาตามกลุ่มนักลงทุน พบว่า ความเชื่อมั่นนักลงทุนทุกกลุ่ม กลับมาร้อนแรงในทิศทางเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม FETCO มองว่า ปลายปีนี้ดัชนีหุ้นไทยจะเคลื่อนไหวอยู่ที่กรอบล่าง 1,300 จุด และมี Upside เพิ่มเติม จากการที่ตลาดคาดการณ์ว่า Fed จะลดดอกเบี้ยในเดือนธันวาคม สำหรับปี 2568 คาดว่า เศรษฐกิจจะขยายตัวได้ที่ 1.5 – 2% จากความหวังจากภาคการท่องเที่ยวและภาคส่งออกที่ดีขึ้น
สำหรับปี 2569 คาดว่า ดัชนีหุ้นไทยมีโอกาสปรับตัวขึ้นไปที่ 1,415 จุด ขึ้นอยู่ความชัดเจนการเลือกตั้งรัฐบาลใหม่ของไทย เงินการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ผ่าน BOI และความชัดเจนว่าใครจะได้รับเลือก เป็นประธาน Fed คนใหม่ ซึ่งจะทำให้เงินทุนไหลออกจากสหรัฐฯ ไปตลาดอื่น


