วันนี้ (12 พฤศจิกายน) เครือข่ายองค์กรภาคประชาชน นำโดยมูลนิธิชีววิถี มูลนิธิเมาไม่ขับ มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล และเครือข่ายงดเหล้า จัดเวทีสาธารณะเรื่อง ‘ผลกระทบและข้อเสนอภาคประชาชนต่อการเจรจาการค้า FTA Thai–EU กรณีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์’ พร้อมการแสดงละครสั้น ‘ยักษ์น้ำเมาอียู’ สะท้อนภัยจากทุนแอลกอฮอล์ยุโรปที่อาจทะลักเข้าสู่สังคมไทย
วิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ เลขาธิการมูลนิธิชีววิถี เปิดเผยผลศึกษาร่วมกับนักวิชาการว่า หลังหลายประเทศ เช่น เอกวาดอร์ โคลอมเบีย เปรู และเกาหลีใต้ ลงนาม FTA กับอียู ปริมาณเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นำเข้าพุ่งขึ้นถึง 100-300% ภายใน 7-10 ปี เนื่องจากยุโรปมีความได้เปรียบด้านอุตสาหกรรมสุราและเบียร์ การลดภาษีเหลือศูนย์ทำให้ราคาถูกลง 20-25% กระตุ้นให้เกิดการดื่มเพิ่ม โดยเฉพาะในกลุ่มนักดื่มหน้าใหม่ ซึ่งอาจเกิดผลกระทบด้านสุขภาพและสังคมในไทย
ด้านนพ.นิพนธ์ ชินานนท์เวช ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ระบุว่า การลดภาษีศุลกากรนำเข้าไวน์และสุราจากยุโรปส่งผลให้ราคาถูกลงจริง และสัญญาณการบริโภคเพิ่มขึ้นเริ่มเห็นชัดจากยอดเก็บภาษีสรรพสามิตที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง พร้อมย้ำว่ากฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ฉบับใหม่จะต้องบังคับใช้เท่าเทียมกับสินค้าทั้งในและต่างประเทศ แต่ต้องระวังไม่ให้มาตรการกลายเป็นอุปสรรคทางการค้า
รศ.ดร.นพ.อุดมศักดิ์ แซ่โง้ว จากมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ เสริมว่า หากไทยยอมตามเงื่อนไข FTA กับอียู อาจทำให้เหล้า เบียร์ และไวน์ราคาถูกทะลักเข้าตลาดไทยมากขึ้น ในขณะที่ พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 ที่เพิ่งมีผลใช้เมื่อ 8 พฤศจิกายนที่ผ่านมา กลับผ่อนคลายข้อจำกัดด้านการประชาสัมพันธ์ จึงเสี่ยงต่อการเพิ่มจำนวนนักดื่มและปัญหาสุขภาพในวงกว้าง
สุรสิทธิ์ ศิลปงาม ผู้จัดการมูลนิธิเมาไม่ขับ ระบุว่า การผ่อนคลายกฎหมายใหม่เมื่อมารวมกับ FTA ไทย-อียู ‘กลายเป็นขนมจีนผสมน้ำยา’ เพราะทั้งสองปัจจัยจะยิ่งทำให้แอลกอฮอล์ราคาถูกและเข้าถึงง่ายขึ้น พร้อมเสนอให้รัฐเข้มงวดบทลงโทษเมาแล้วขับและควบคุมการขายให้เด็ดขาดเหมือนประเทศยุโรป เกาหลี หรือสิงคโปร์
ขณะที่ Mr. Son Dao จาก Vital Strategies ยกกรณีศึกษาประเทศเวียดนามที่ภายใต้ข้อตกลง EVFTA ได้ออกมาตรการเพิ่มภาษีสรรพสามิตจาก 65% เป็น 90% ภายใน 4 ปี เพื่อบรรเทาผลกระทบด้านสุขภาพ ซึ่งไทยควรพิจารณาแนวทางเดียวกันในการปกป้องสุขภาพประชาชน


