ในช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ความสัมพันธ์ระหว่างญี่ปุ่นและจีนเริ่มเข้าสู่ภาวะตึงเครียด หลังเกิดวิวาทะระหว่างกัน ความตึงเครียดเริ่มต้นขึ้นเมื่อ ซานาเอะ ทาคาอิจิ นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของญี่ปุ่น ได้เสนอแนะในที่ประชุมรัฐสภาของญี่ปุ่นว่า ญี่ปุ่นอาจตอบโต้ด้วยกำลังทางทหาร หากจีนโจมตีไต้หวัน
ท่าทีดังกล่าวมีขึ้น หลังทาคาอิจิถูกถามว่า สถานการณ์ใด รอบๆ ไต้หวันที่จะถือเป็นสถานการณ์ที่ ‘คุกคามการอยู่รอด’ (Survival-Threatening Situation) ของญี่ปุ่น โดยทาคาอิจิตอบว่า หากมีเรือรบและการใช้กำลัง ก็อาจถือเป็นสถานการณ์ที่คุกคามการอยู่รอดได้
‘สถานการณ์ที่คุกคามการอยู่รอด’ เป็นศัพท์ทางกฎหมายภายใต้กฎหมายความมั่นคงปี 2015 ของญี่ปุ่น หมายถึงการโจมตีด้วยอาวุธต่อพันธมิตรของญี่ปุ่นที่ก่อให้เกิดภัยคุกคามต่อการดำรงอยู่ของประเทศ และในสถานการณ์เช่นนี้ ญี่ปุ่นสามารถใช้กองกำลังป้องกันตนเอง เพื่อตอบสนองต่อภัยคุกคามได้
การตอบโต้และคำขู่จากนักการทูตจีน
คำกล่าวของทาคาอิจิสร้างความไม่พอใจให้กับทางการจีน โดยเฉพาะกระทรวงการต่างประเทศของจีนที่ระบุว่า สิ่งที่เกิดขึ้น ‘ถือเป็นเรื่องร้ายแรง’
ก่อนที่ เสวี่ยเจี้ยน กงสุลใหญ่ของจีนในเมืองโอซาก้า ได้แชร์บทความข่าวเกี่ยวกับคำกล่าวของทาคาอิชิบน X พร้อมเพิ่มความคิดเห็นส่วนตัวในทำนองที่ว่า ศีรษะสกปรกที่ยื่นออกมาต้องถูกตัดออก โดยความเห็นนี้ได้รับการตีความอย่างแพร่หลาย โดยบางคนมองว่า เป็นการขู่จะตัดศีรษะทาคาอิจิ และถึงแม้ว่าเจตนาของคำพูดดังกล่าว ‘อาจไม่ชัดเจน’ แต่ก็ถูกมองว่า ‘ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง’
รัฐบาลทั้งสองประเทศต่างยื่นหนังสือประท้วงอย่างรุนแรงต่อกัน โดยรัฐบาลจีนประท้วงคำพูดของทาคาอิจิ ขณะที่รัฐบาลญี่ปุ่นเองก็ประท้วงคำพูดของเสวี่ยเจี้ยน โดยเมื่อวานนี้ (11 พฤศจิกายน) ทาคาอิชิปฏิเสธที่จะถอนคำพูดของเธอ พร้อมยืนยันว่า คำพูดดังกล่าว สอดคล้องกับจุดยืนดั้งเดิมของรัฐบาล อย่างไรก็ตาม เธอระบุว่า จะระมัดระวังในการให้ความเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์เฉพาะเจาะจงนับจากนี้
จุดยืนของทาคาอิจิกับบริบททางประวัติศาสตร์
ความบาดหมางระหว่างจีนและญี่ปุ่นเกิดขึ้นมาอย่างยาวนาน โดยย้อนกลับไปถึงความขัดแย้งทางอาวุธในยุคทศวรรษ 1800s และแคมเปญทางการทหารที่โหดร้ายของญี่ปุ่นในจีนช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง บาดแผลทางประวัติศาสตร์ยังคงเป็นประเด็นที่อ่อนไหวในความสัมพันธ์ทวิภาคี
ทาคาอิจิถือเป็นศิษย์รักของชินโซ อาเบะ อดีตนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นผู้ล่วงลับ ซึ่งมีท่าทีการดำเนินนโยบายที่แข็งกร้าว (สายเหยี่ยว) ต่อจีน และสนับสนุนไต้หวันมานาน เธอได้ให้คำมั่นที่จะเพิ่มการใช้จ่ายด้านกลาโหมของญี่ปุ่น และก่อนหน้านี้เธอก็เคยกล่าวว่า การปิดล้อมเกาะไต้หวันอาจคุกคามญี่ปุ่น และญี่ปุ่นสามารถระดมกำลังทหาร เพื่อยับยั้งการรุกรานของจีนได้
การละทิ้ง ‘ความคลุมเครือเชิงยุทธศาสตร์’
จีนมีความอ่อนไหวอย่างยิ่งต่อประเด็นไต้หวัน ซึ่งจีนมองว่า เป็นส่วนหนึ่งของอธิปไตยจีน และไม่ได้ตัดความเป็นไปได้ในการใช้กำลังทางทหารเพื่อยึดคืนเกาะดังกล่าว
นักวิชาการจำนวนหนึ่งมองว่า คำกล่าวล่าสุดของนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นถือเป็นการเปลี่ยนจาก ‘จุดยืนที่คลุมเครือ’ (Equivocal Position) ที่ญี่ปุ่นเคยยึดถือเกี่ยวกับสถานะของไต้หวัน ซึ่งมีความสอดคล้องกับนโยบาย ‘ความคลุมเครือเชิงยุทธศาสตร์’ (Strategic Ambiguity) ที่สหรัฐฯ ใช้มานาน
ที่ผ่านมา รัฐบาลญี่ปุ่นหวังว่าปัญหาไต้หวันจะได้รับการแก้ไขอย่างสันติผ่านการเจรจา และเจ้าหน้าที่ญี่ปุ่นมักจะหลีกเลี่ยงการกล่าวถึงไต้หวันในการอภิปรายด้านความมั่นคง
ในเหตุการณ์ล่าสุดนี้ กระทรวงการต่างประเทศของจีนกล่าวว่า คำพูดของทาคาอิจิ ถือเป็นการ ‘แทรกแซงอย่างโจ่งแจ้งต่อกิจการภายในของจีน’ (A Gross Interference in China’s Internal Affairs) โดยย้ำว่า ‘ไต้หวันคือไต้หวันของจีน’ และจีนจะไม่ทนต่อการแทรกแซงจากต่างชาติใดๆ ในประเด็นนี้
โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีนยังตั้งคำถามว่า ผู้นำญี่ปุ่นกำลังพยายามส่งสัญญาณอะไรไปยังกองกำลังแบ่งแยกดินแดนที่ต้องการเอกราชของไต้หวัน และญี่ปุ่นพร้อมที่จะท้าทายผลประโยชน์หลักของจีนและหยุดการรวมชาติ หรือไม่
วิวาทะที่เกิดขึ้นระหว่างญี่ปุ่นและจีนนี้ ทำให้เกิดบรรยากาศตึงเครียดระลอกใหม่ในแถบเอเชียตะวันออก ซึ่งอาจจะต้องจับตามองอย่างใกล้ชิดว่า วิวาทะเดือดในครั้งนี้จะทำให้สถานการณ์บานปลายไปในทิศทางใดหรือไม่
แฟ้มภาพ: Chung Sung-Jun / Getty Images
อ้างอิง:
- https://www.bbc.com/news/articles/crklvx2n7rzo
- https://japantoday.com/category/politics/explainer-why-did-japan-pm’s-taiwan-remarks-cause-such-a-stir
- https://apnews.com/article/japan-china-taiwan-emergency-takaichi-0cefc2b4e4f1cda16a4c8bfef033be2d
- https://www.reuters.com/world/china/why-did-japan-pms-taiwan-remarks-cause-such-stir-2025-11-11/


