วันนี้ (7 พฤศจิกายน) สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ได้สรุปสถานการณ์น้ำภาพรวมของประเทศ ณ เวลา 07.00 น. โดยมีการจับตาเป็นพิเศษต่ออิทธิพลของพายุไต้ฝุ่นคัลแมกี ที่อ่อนกำลังลงและเคลื่อนตัวเข้าสู่ประเทศไทย
พายุไต้ฝุ่นคัลแมกี ได้อ่อนกำลังลงเป็นพายุโซนร้อนกำลังแรงในประเทศเวียดนาม และอ่อนกำลังลงเป็นพายุดีเปรสชัน เคลื่อนผ่านประเทศลาว โดยจะเคลื่อนเข้าปกคลุมบริเวณอำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี ก่อนจะอ่อนกำลังลงเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงตามลำดับ
ลักษณะเช่นนี้จะทำให้ประเทศไทยมี ฝนตกหนักถึงหนักมากบางพื้นที่ บริเวณจังหวัดอุบลราชธานี ยโสธร อำนาจเจริญ ศรีสะเกษ สุรินทร์ และบุรีรัมย์
คาดการณ์สำหรับวันที่ 8 – 9 พฤศจิกายน ประเทศไทยตอนบนจะมีฝนเพิ่มขึ้น โดยมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางพื้นที่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (อีสาน) และภาคใต้ฝั่งตะวันตก นอกจากนี้ ภาคใต้จะมีฝนฟ้าคะนองและฝนตกหนักบางแห่ง เนื่องจากลมตะวันตกและลมตะวันตกเฉียงใต้มีกำลังแรงขึ้น
สถานการณ์น้ำอ่างเก็บน้ำภาพรวมและแหล่งน้ำเฝ้าระวัง
- ปริมาณน้ำรวม: ปัจจุบันมีน้ำรวม 88% ของความจุเก็บกัก (71,298 ล้าน ลบ.ม.) โดยมีปริมาณน้ำใช้การได้ 81% (47,176 ล้าน ลบ.ม.)
- แหล่งน้ำเฝ้าระวัง: พบแหล่งน้ำขนาดใหญ่ที่มีปริมาณน้ำต่ำกว่าระดับควบคุมต่ำสุด 1 แห่ง คือ อ่างเก็บน้ำคลองสียัด ในภาคตะวันออก
- แหล่งน้ำขาดแคลน: มีแหล่งน้ำขนาดกลางที่มีปริมาณน้ำเก็บกักน้อยกว่า 30% จำนวน 19 แห่ง กระจายอยู่ในทุกภาค (ภาคเหนือ 3 แห่ง, ภาคอีสาน 3 แห่ง, ภาคตะวันออก 6 แห่ง, ภาคตะวันตก 5 แห่ง, และภาคใต้ 2 แห่ง)
- คุณภาพน้ำ: น้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคที่สถานีสูบน้ำสำแล จังหวัดปทุมธานี และน้ำเพื่อการเกษตรในแม่น้ำท่าจีน แม่น้ำแม่กลอง และแม่น้ำบางปะกง ยังอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานทั้งหมด
วานนี้ (6 พฤศจิกายน) ไพฑูรย์ เก่งการช่าง รองเลขาธิการ สทนช. ได้เป็นประธานการประชุมติดตามสถานการณ์น้ำและการวางแผนบริหารจัดการน้ำเขื่อนภูมิพล ตามที่อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และ ภราดร ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานเตรียมพร้อมรับมือพายุคัลแมกี
เนื่องจากเขื่อนขนาดใหญ่ที่อยู่ในแนวพื้นที่รับฝนจากพายุ ได้แก่ เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ และเขื่อนอุบลรัตน์ ปัจจุบันมีปริมาณน้ำเกือบ 100% สทนช. จึงได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง
ที่ประชุมได้เห็นชอบให้ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) วางแผนปรับเพิ่มการระบายน้ำของ เขื่อนภูมิพล แบบขั้นบันไดตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป โดยจะปรับเพิ่มจากอัตราปกติเป็น 30, 40 และ 45 ล้าน ลบ.ม./วัน และสูงสุดไม่เกิน 60 ล้าน ลบ.ม./วัน
การปรับเพิ่มการระบายน้ำในครั้งนี้ คาดการณ์ว่าจะส่งผลให้ระดับน้ำด้านท้ายเขื่อนเพิ่มสูงขึ้น ไม่เกิน 20 เซนติเมตร โดยมวลน้ำจะไหลลงสู่แม่น้ำปิง ผ่านจังหวัดตาก กำแพงเพชร และนครสวรรค์ จนถึงเขื่อนเจ้าพระยา ใช้เวลา 8-9 วัน และจะไม่ส่งผลให้ระดับน้ำเหนือเขื่อนเจ้าพระยาเพิ่มสูงขึ้นแต่อย่างใด
กฟผ. ต้องพิจารณาปรับการระบายน้ำให้เหมาะสมสอดคล้องกับสถานการณ์โดยคำนึงถึงความปลอดภัยของเขื่อนและผลกระทบต่อพื้นที่ท้ายน้ำเป็นสำคัญ พร้อมทั้งให้มีการ สื่อสารประชาสัมพันธ์กับประชาชนในพื้นที่ล่วงหน้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อเตรียมความพร้อมรองรับสถานการณ์น้ำอย่างทั่วถึง


