AI ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป องค์กรไทยส่วนใหญ่ได้ ‘เริ่ม’ เดินหน้ากันอย่างจริงจังแล้ว สัญญาณบวกคือ 40% ขององค์กรระบุว่าผู้นำระดับสูงมีส่วนร่วมอย่างมาก และมองว่า AI คือวาระสำคัญระดับผู้บริหาร
พชร อารยะการกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ได้สรุปภาพใหญ่ไว้อย่างน่าสนใจ บนเวที Tech Stage ในงาน THE STANDARD Economic Forum 2025 หัวข้อ Thailand’s AI-Driven Leadership Partner with Bluebik ว่า แม้หลายองค์กรจะเริ่มลงทุนด้าน AI แล้ว แต่ ‘การขยายผล’ เพื่อให้เกิดผลกระทบทั่วทั้งองค์กรนั้น ยังถือเป็นความท้าทายใหญ่ ทำให้การใช้ AI เพื่อสเกลองค์กรยังไปไม่สุด
3 อุปสรรคสำคัญที่กำลัง ‘ติดค้าง’ อยู่ในองค์กรไทย ได้แก่
1. คน (People): วัฒนธรรมและทักษะที่ยังไม่ทันเกม
อุปสรรคอันดับหนึ่งที่องค์กรไทยเห็นพ้องกันคือ ‘ขาดบุคลากรที่มีทักษะด้าน AI’ ซึ่งข้อมูลชี้ชัดว่าเป็น Pain Point สูงสุดขององค์กรไทยถึง 20%
ที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือ องค์กรส่วนใหญ่ยังไม่เร่งสร้างคนจากภายใน โดยเกือบครึ่งขององค์กรยังอบรมพนักงานด้าน AI ไม่ถึง 10%
อีกจุดอ่อนใหญ่คือผู้นำด้าน AI ที่ยังขาดแคลน ปัจจุบัน 40% ของโครงการ AI ถูกนำโดยฝ่าย IT ขณะที่มีองค์กรเพียง 11% เท่านั้นที่มีผู้บริหารหรือทีมเฉพาะด้าน AI โดยตรง
ผลที่ตามมาคือการทำงานแบบไซโล การสื่อสารระหว่างทีมธุรกิจกับทีมเทคนิคไม่ลื่นไหล โดยมีถึง 57% ขององค์กรที่ระบุว่า ‘ขาดความเข้าใจร่วมกัน’ และอีก 48% ที่ชี้ว่า ‘มีช่องว่างด้านการสื่อสาร’
2. กระบวนการ (Process): มีเครื่องมือแต่ไร้กฎกติกา
เพียง 15% ขององค์กรไทยเท่านั้นที่มีกรอบการกำกับดูแล AI อย่างเป็นทางการ ขณะที่อีก 40% อยู่ในระหว่างพัฒนา และที่น่าตกใจคือ 27% ระบุว่าการบริหารความเสี่ยง AI ‘ยังไม่ใช่เรื่องสำคัญ’
เมื่อไม่มีกฎกติกาที่ชัดเจน การวัดผลของ AI จึงกระจัดกระจาย 20% ขององค์กรยัง ‘ไม่ได้วัดผล AI เลย’ และแม้องค์กรส่วนใหญ่ถึง 65% จะวัดผลโดยอิงกับ ‘ประสิทธิภาพ’หรือ ‘ROI’ ถึง 47% แต่กลับมีเพียง 20% เท่านั้นที่ลงทุนเพื่อจุดประสงค์ด้านนวัตกรรม
3. เทคโนโลยี (Technology): พึ่งพา “เช่าใช้” มากกว่า “สร้างเอง”
ในยุคที่เทคโนโลยีพร้อมใช้งานแบบ Plug-and-Play องค์กรไทยจำนวนมากกำลังเลือกทางลัดที่อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงระยะยาว
54% ขององค์กรใช้โมเดล AI/ML จากผู้ให้บริการคลาวด์ ขณะที่อีก 42% ใช้ Pre-trained Models และ APIs จากแพลตฟอร์มต่างประเทศ เช่น OpenAI หรือ Google Vertex AI มีเพียง 35% เท่านั้นที่พัฒนาโมเดลขึ้นเองภายในองค์กร
การพึ่งพาโซลูชันสำเร็จรูปในฟังก์ชันเชิงกลยุทธ์ อาจส่งผลให้ขาดความสามารถแข่งขันในอนาคต โดยเฉพาะหากไม่สามารถปรับเทคโนโลยีให้เข้ากับบริบทเฉพาะของไทยได้
ปลดล็อก AI ด้วย 6 องค์ประกอบหลัก
เมื่อเห็นปัญหาชัดเจน พชรจึงเสนอ ‘พิมพ์เขียว’ ที่จะปลดล็อกศักยภาพ AI ให้เกิดผลจริง ด้วยการจัดการ 6 องค์ประกอบสำคัญ ภายใต้ 3 เสาหลัก
เสาที่ 1: ยกระดับ “คน” (People)
- AI Leadership: ต้องเปลี่ยน AI ให้เป็นวาระของ C-Suite ไม่ใช่แค่เรื่องของ IT
- AI Workforce: เร่ง Upskill พนักงานเดิม และยกระดับ AI Literacy ให้ทั่วถึงทั้งองค์กร ไม่ใช่ฝึกอบรมแค่ไม่ถึง 10%
- Cross-functional Collaboration: ต้องสร้างสะพานเชื่อมทีมเทคนิคและธุรกิจ พร้อมจัดการปัญหาการสื่อสารและความเข้าใจที่ไม่ตรงกัน
เสาที่ 2: วางระบบ “กระบวนการ” (Process)
- Governance: สร้างกฎกติกาที่ชัดเจน โดยเริ่มจาก Data Governance, Regulatory Compliance และ Risk Management
- Performance Metrics: เปลี่ยนวิธีวัดผลจาก ROI เพียงอย่างเดียว ไปสู่การวัดแบบองค์รวม เช่น OKRs, Customer Satisfaction และ Employee Adoption
เสาที่ 3: สร้าง “เทคโนโลยี” (Technology)
- AI/ML Solutions: ลดการพึ่งพาโซลูชันสำเร็จรูป และสร้าง Core Capability 3 ด้าน ได้แก่ โครงสร้างพื้นฐานที่องค์กรเป็นเจ้าของ ความสามารถในการปรับแต่งโมเดลให้เข้าใจบริบทไทย และการพัฒนาแอปพลิเคชัน AI ที่ฝังอยู่ในกระบวนการหลักของธุรกิจ
AI จะเปลี่ยนองค์กรได้จริงหรือไม่ ไม่ได้อยู่ที่ว่าเริ่มหรือยัง แต่อยู่ที่ว่า กล้าปรับทั้ง “คน–กระบวนการ–เทคโนโลยี” พร้อมกันหรือเปล่า
ลองเริ่มต้นด้วยการ เช็ก 6 องค์ประกอบหลัก ดังนี้
- ผู้นำมีวิสัยทัศน์เรื่อง AI หรือยัง?
- คนในองค์กรเข้าใจและใช้งาน AI ได้จริงแค่ไหน?
- กระบวนการรองรับชัดเจนหรือยังมีช่องโหว่?
- วัดผลถูกจุดหรือยังยึดแค่ ROI?
- เทคโนโลยีที่ใช้อยู่ “เช่า” หรือ “สร้าง”?
- เรามีความสามารถด้าน AI ที่เป็นของตัวเองแล้วหรือยัง?
เพราะการขับเคลื่อน AI ให้เกิดผลจริง ไม่ใช่แค่เรื่องของงบประมาณหรือเครื่องมือ แต่คือเรื่องของการ ‘เลือกลงทุนในสิ่งที่ใช่’ และ ‘ทำให้คนทั้งองค์กรเติบโตไปกับมันได้’


