หลังจากรัฐบาลชุดใหม่ประกาศนโยบาย Quick Big Win เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจแบบเร่งด่วน ได้สร้างความคาดหวังให้กับหลายภาคส่วน หนึ่งในเครื่องยนต์เศรษฐกิจสำคัญที่ถูกมองว่าสามารถตอบโจทย์นี้ได้จริง คือ ‘อุตสาหกรรมไมซ์’ (MICE) โดยเฉพาะกลุ่ม E – Exhibition หรืองานแสดงสินค้า
อุตสาหกรรมนี้ไม่ต้องรอเงินลงทุนระยะยาว หรือการสร้างโครงสร้างพื้นฐานใหม่ เพียงผลักดันให้งานแสดงสินค้าระดับนานาชาติเข้ามาจัดในไทย ก็สามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สร้างเม็ดเงินหมุนเวียนกว่าแสนล้านบาทได้ในทันที
สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ ทีเส็บ จึงเดินหน้าส่งเสริมอุตสาหกรรมนี้อย่างเต็มที่ เพื่อสร้างแบรนด์ประเทศไทยในฐานะ ‘The Best Exhibition Nation of ASEAN’ หรือฮับงานแสดงสินค้าแห่งภูมิภาค
“อุตสาหกรรมไมซ์ โดยเฉพาะงานแสดงสินค้าถือเป็นหนึ่งใน ‘Quick Win’ ที่มีศักยภาพมากที่สุด เพราะเป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่เชื่อมโยงผู้ประกอบการ ตั้งแต่ผู้จัดงาน ผู้แสดงสินค้า ผู้ผลิต ผู้ซื้อ ผู้ขาย นักลงทุนและภาคบริการเข้าด้วยกัน” ดร.ศุภวรรณ ตีระรัตน์ ผู้อำนวยการ ทีเส็บ กล่าว
ตัวเลขเศรษฐกิจยืนยันภาพดังกล่าว โดยในปีงบประมาณ 2568 (ตุลาคม 2567 – กันยายน 2568) งานแสดงสินค้าสร้างรายได้และดึงดูดนักเดินทางสูงสุดในอุตสาหกรรมไมซ์ มีมูลค่ารวมกว่า 103,000 ล้านบาท โดยดึงดูดนักเดินทางไมซ์ในประเทศกว่า 23.2 ล้านคน และนักเดินทางจากต่างประเทศกว่า 3.5 แสนคน
และในปี 2569 ทีเส็บคาดว่าอุตสาหกรรมนี้จะสร้างรายได้กว่า 113,000 ล้านบาท หรือเติบโตร้อยละ 10 ยิ่งไปกว่านั้น ในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ (2568) ยังมีงานแสดงสินค้านานาชาติรอจัดในไทยอีกกว่า 30 งาน
จุดแข็งประเทศไทยในสนามอาเซียน
ดร.ศุภวรรณ อธิบายว่า ปัจจุบันการแข่งขันในธุรกิจงานแสดงสินค้าระดับนานาชาติค่อนข้างสูงมาก โดยมีคู่แข่งสำคัญที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วคือเวียดนามและมาเลเซีย อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยมีข้อได้เปรียบที่ชัดเจนซึ่งสั่งสมมานานจนได้รับการยอมรับจากนานาชาติ

ข้อได้เปรียบประการแรกคือ ประเทศไทยมีความเป็นนานาชาติสูง ไม่ได้จัดงานเพื่อคนไทยอย่างเดียว งานที่จัดในเวียดนามหรือมาเลเซีย ผู้ซื้อส่วนใหญ่ 80-90% คือคนในประเทศนั้นๆ “แต่สำหรับประเทศไทย งานที่จัดในประเทศไทยถือได้ว่าเป็นตัวแทนของภูมิภาคอาเซียน ทำให้คนที่จะมาขายของมองว่ามาที่ไทยแล้วเขาได้กลุ่มของอาเซียนไปด้วยโดยอัตโนมัติ” ดร.ศุภวรรณ กล่าว
ข้อที่ 2 คือ Connectivity’และการเป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาค นักธุรกิจให้ความสำคัญกับเวลา การเดินทางเข้าสู่ประเทศไทยจึงเป็นเรื่องง่าย เพราะประเทศไทยมี Connectivity ที่เชื่อมโยงหลายประเทศทั่วโลก
ประกอบกับโครงสร้างพื้นฐาน ที่พัก และสิ่งอำนวยความสะดวก ที่มีหลากหลายตั้งแต่ 3 ดาว ถึง 6 ดาว รองรับได้ทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย “ผู้ขายที่มางานอาจต้องอยู่ถึง 7 วัน และไม่ได้ต้องการโรงแรม 4-5 ดาว ส่วนผู้ซื้อแบบ VIP ที่ต้องการ 5 ดาว 6 ดาว ไทยก็มีพร้อม”
โดยเฉพาะพื้นที่จัดแสดงสินค้านานาชาติ ประเทศไทยมีพื้นที่มากเป็นอันดับ 1 ของอาเซียน และเป็นอันดับ 4 ของเอเชีย ด้วยพื้นที่ indoor เกือบ 300,000 ตารางเมตร ที่สำคัญศูนย์ประชุมในกรุงเทพฯ เป็น World Class รองรับงานได้ทุกระดับ
ข้อที่ 3 ซึ่งสำคัญมาก คืออุตสาหกรรมสนับสนุนและความเป็นฐานการผลิต “สิ่งสำคัญที่ทำให้สิงคโปร์งานลดลงคือ เรื่องอุตสาหกรรมซัพพอร์ต สิงคโปร์ไม่มีโรงงาน เป็นแค่เมือง Trading” แต่ประเทศไทยมีนิคมอุตสาหกรรม มีโรงงาน มีผู้ผลิตจริง โดยเฉพาะธุรกิจ Advance Manufacturing ที่ใช้เทคโนโลยี ทำให้ผู้ซื้อและผู้ขายอยู่ในประเทศไทยเป็นหลัก

ปัจจัยสำคัญอีกประการหนึ่งคือภาพลักษณ์ของประเทศ โดยเฉพาะ ‘ความเป็นกลาง’ ทางภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งเป็นจุดที่สร้างความได้เปรียบอย่างชัดเจน ดร.ศุภวรรณ อธิบายว่า ความเป็นกลางนี้ช่วยสร้างความสบายใจให้กับผู้จัดงาน (Organizer) ในการตัดสินใจเลือกประเทศไทย “Organizer สบายใจที่จะเอางานใหม่ๆ มาลง หรือสร้างการลงทุนในประเทศไทยเพื่อให้เติบโตไปเลย”
ยุทธศาสตร์ดึงงานใหญ่ขับเคลื่อน S Curve
การขับเคลื่อนอุตสาหกรรมนี้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลอย่างชัดเจน โดยทีเส็บมุ่งเน้นการดึงงานที่ตอบสนอง 5 คลัสเตอร์หลักที่เป็นอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ หรือ S-Curve ของประเทศ ซึ่งไม่ต่างจากประเทศคู่แข่งในอาเซียนที่กำลังมุ่งเน้นกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายเดียวกัน
กลุ่มเป้าหมายหลัก 5 คลัสเตอร์ ได้แก่ 1.การแพทย์และสุขภาพ (Medical/Medical Wellness), 2.ดิจิทัล, 3.ยานยนต์สมัยใหม่, 4. BCG (เศรษฐกิจสีเขียว เกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ แปรรูปอาหาร) และ 5.บริการ (ท่องเที่ยวสุขภาพ การบินและโลจิสติกส์)
ทีเส็บจะใช้การประมูล (Bidding) เพื่อดึงงานใหม่ๆ เข้ามา เนื่องจากงานแสดงสินค้ามีลักษณะพิเศษคือ เมื่อปักหลักที่ประเทศใดแล้วมักจะอยู่นาน ไม่เวียนจัดเหมือนงานประชุม โดยในปีงบประมาณ 2569 มีงานแสดงสินค้านานาชาติหน้าใหม่กำหนดจัดในไทยแล้ว 9 งาน จากผู้ประกอบการไทย, อินเดีย, จีน, เยอรมนี และสหราชอาณาจักร
อีกทั้งการได้รับเลือกเป็นเจ้าภาพงานใหญ่อย่าง Gastech 2026 ซึ่งเป็นงานด้านพลังงานแก็สที่ใหญ่ที่สุดในโลก และงาน UFI Asia Pacific 2026 ถือเป็นดัชนีชี้วัดความเชื่อมั่นที่แข็งแกร่งของนักธุรกิจต่างชาติ
“เราจะใช้งานระดับโลกที่จะเข้ามาจัดในประเทศไทยเป็นตัวตั้งต้นของการประสานพลังผลักดันให้การจัดงานประสบผล สำเร็จ เพื่อเป็นเวทีพิสูจน์ความสามารถในการรองรับการจัดงานของประเทศไทย” ดร.ศุภวรรณ กล่าว
เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ทีเส็บได้วางยุทธศาสตร์การสร้างแบรนด์เชิงรุกภายใต้วิสัยทัศน์ Change That Matters โดยมี 4 กลยุทธ์หลัก กลยุทธ์แรกคือ Global Reach’เพื่อดึงงานระดับโลกที่ตอบโจทย์คลัสเตอร์ยุทธศาสตร์ของประเทศ เพื่อสร้าง High Impact และ High Value ต่อระบบเศรษฐกิจ

กลยุทธ์ที่สองคือ Local Strength เพื่อยกระดับงานภายในประเทศให้เป็น Flagship Events ที่ดึงดูดผู้ประกอบการจากทั่วโลก กลยุทธ์ที่สามคือ Organisation Transformation เพื่อปรับองค์กรสู่ระบบดิจิทัลและขับเคลื่อนด้วยข้อมูล
และกลยุทธ์ที่สี่ Capabilities Excellence เพื่อยกระดับบทบาทของทีเส็บให้เป็นผู้กำหนดนโยบาย (Policy Shaper) และสร้างมาตรฐานใหม่ของอุตสาหกรรม “สิ่งสำคัญที่ต้องเร่งสร้างคือ ระบบนิเวศโดยคนไทย และสร้างมาตรฐานให้เกิดขึ้นในประเทศไทยให้ได้” ดร.ศุภวรรณ กล่าว โดยทีเส็บกำลังดำเนินการสร้างมาตรฐานผู้ให้บริการ ผู้จัดงาน และสถานที่จัดงาน (qualify listed) ทั้งหมด
การขยายโอกาสสู่เมืองไมซ์ซิตี้
หนึ่งในนโยบายสำคัญคือการกระจายความเจริญและรายได้สู่ท้องถิ่น แม้งานแสดงสินค้าส่วนใหญ่ยังคงกระจุกตัวอยู่ในกรุงเทพฯ แต่ทีเส็บกำลังพยายามขยายงานไปยังเมืองรอง ซึ่งในความหมายนี้คือเมืองเศรษฐกิจที่มีศักยภาพ
การที่เมืองรองจะมีโอกาสเป็นเจ้าภาพงานแสดงสินค้าได้นั้น ต้องมีคุณสมบัติ 3 ประการ คือ Connectivity ต้องเชื่อมต่อได้ง่าย โดยเฉพาะการมีสนามบิน เพราะนักธุรกิจไม่ต้องการเสียเวลาเดินทาง ต่อมาจะต้องมีอุตสาหกรรมเป้าหมายอยู่ในพื้นที่ เพื่อให้มีผู้ซื้อและผู้ขายเกิดขึ้นจริง
“ภาคเหนือเน้นอาหาร ภาคอีสานเน้นเกษตร ภาคตะวันออกมี EEC ที่เป็นนิคมอุตสาหกรรม และภาคใต้มีอาหารทะเล ยางพารา หรือกลุ่มฮาลาล หากไม่มีอุตสาหกรรมเป้าหมาย ก็จะไม่มีผู้ซื้อและผู้ขายเกิดขึ้น” ดร.ศุภวรรณ อธิบาย

ข้อ 3 ต้องมีสถานที่จัดงานที่เหมาะสม เช่น ศูนย์ประชุมหรือศูนย์แสดงสินค้า โดยปัจจุบันประเทศไทยได้นำร่อง ‘MICE City’ แล้ว 10 จังหวัด ซึ่งส่วนใหญ่ยังคงเน้นการประชุมแต่ก็มีศักยภาพในการต่อยอด
เมืองเหล่านี้ได้แก่ ภาคเหนือ คือ เชียงใหม่ และพิษณุโลก ภาคอีสาน คือ อุดรธานี, ขอนแก่น และโคราช ภาคใต้ คือ สงขลา, ภูเก็ต และสุราษฎร์ธานี ส่วนภาคกลางและภาคตะวันออก คือ กรุงเทพฯ และพัทยา ซึ่งกรุงเทพฯ, พัทยา, ขอนแก่น และเชียงใหม่ มีความพร้อมทั้งโรงแรมและศูนย์แสดงสินค้า
วิสัยทัศน์คือการทำอย่างไรให้ภูมิภาคต่างๆ มีงานที่เป็น ‘Regional’ ประจำภูมิภาคของตนเอง โดยไม่ต้องดึงผู้ให้บริการจากกรุงเทพฯ ซึ่งจะช่วยสร้างฐานเศรษฐกิจที่เข้มแข็งในแต่ละพื้นที่


