×

รังสิมันต์ชี้นายกฯ ตีเช็คเปล่า ไม่ได้สั่งการหน่วยงานปราบสแกมเมอร์จริง กมธ. มั่นคงฯ จ่อทำบัญชีดำ 43 ชื่อ ห้ามเข้าประเทศ

โดย THE STANDARD TEAM
05.11.2025
  • LOADING...
รังสิมันต์ชี้ นายกฯ ตีเช็คเปล่า ไม่ได้สั่งการหน่วยงานปราบสแกมเมอร์จริง กมธ. มั่นคงฯ จ่อทำบัญชีดำ 43 ชื่อ ห้ามเข้าประเทศ

วันนี้ (5 พฤศจิกายน) ที่อาคารรัฐสภา รังสิมันต์ โรม สส. แบบบัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร แถลงข่าวกรณีความคืบหน้าการติดตามปัญหาการฟอกเงินของกลุ่มทุนกัมพูชาที่เชื่อมโยงกับเครือข่ายสแกมเมอร์ในประเทศไทย และความเชื่อมโยงกับ BIC กรุ๊ป ธนาคาร BIC และ ยิมเลียก

 

รังสิมันต์ระบุว่าในภาพรวมการประชุมวันนี้ มีความคืบหน้าพอสมควรแต่ก็ยังไม่เป็นที่น่าพึงพอใจและเท่าทันกับสถานการณ์นัก โดยในกรณีบุคคลที่มีความเชื่อมโยง มีผลความคืบหน้าดังนี้

 

กรณี เบน สมิธ ในเรื่องของสัญชาติ ได้ข้อมูลมาว่า เบน สมิธ มีหลายสัญชาติ เบื้องต้นขั้นตอนในการขอสัญชาติได้สิ้นสุดไปแล้ว มีการส่งคำร้องคืนไปยังผู้ขอเนื่องจากมีความพยายามในการตกแต่งบัญชีในการยื่นภาษี ทำให้ไม่สามารถขอสัญชาติได้ นอกจากนี้ ยังมีการพบหลักฐานบางประการที่อาจจะทำให้ดำเนินคดีบางอย่างเพิ่มเติมได้อีก

 

กรณีต่อมาคือ ก๊กอาน แม้ไม่ได้เป็นผู้มีสัญชาติไทยแต่มีถิ่นที่อยู่ถาวรในประเทศไทย ซึ่งวันนี้มีการพูดคุยจนนำไปสู่ข้อสรุปว่าหลังจากนี้จะมีการถอนใบอนุญาตถิ่นที่อยู่ถาวร และปัจจุบันได้มีการออกหมายแดงในตำรวจสากลไปแล้ว 3 หมาย สิ่งที่ต้องพิจารณาต่อคือหลังจากนี้นายกรัฐมนตรีจะมีการประสานงานกับฝ่ายกัมพูชาเพื่อให้มีการส่งตัว ก๊กอาน มาดำเนินคดีในประเทศไทยอย่างไรต่อไป

 

ส่วนกรณี ลี ยงพัด ปัจจุบันมีการประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วว่ามีการถอดถอนสัญชาติ แต่อยู่ในระหว่างการยึดอายัดทรัพย์สิน ส่วนกรณี ยิมเลียก ยังไม่มีข้อมูลอะไรมากนัก แต่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) มีข้อมูลเก่าว่าเคยมีการยึดอายัดทรัพย์แต่ก็มีการถอนการยึดอายัดไปแล้ว เบื้องต้นจะมีการดำเนินการในการตรวจสอบต่อไป

 

ก่อนหน้านี้ที่ผ่านมา ปปง. ชี้แจงมาโดยตลอดว่าไม่สามารถริเริ่มดำเนินการได้ด้วยตัวเอง จะต้องมีคดีมูลฐานก่อน วันนี้ชัดเจนแล้วว่าทาง ปปง. ได้มีการเริ่มนับหนึ่งและอยู่ในขั้นตอนการประสานงาน และจะมีการดำเนินการตามที่คณะกรรมาธิการฯ มีความเป็นห่วงต่อปัญหาดังกล่าวต่อไป

 

รังสิมันต์กล่าวต่อไปว่า หลังจากนี้คณะกรรมาธิการฯ จะมีการทำหนังสือ รวบรวมรายชื่อบุคคลต่างๆ รวม 43 ราย ซึ่งมีทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล เพื่อส่งให้หน่วยงานต่างๆ รวมถึงตำรวจตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) เพื่อจะมีการตรวจสอบและการขึ้นบัญชีดำให้เป็นบุคคลที่ไม่สามารถเข้าประเทศไทยได้ รวมถึงอาจจะต้องตรวจสอบว่าความเกี่ยวพันกับสแกมเมอร์มากน้อยแค่ไหนต่อไป

 

สำหรับกรณี ปรินซ์ กรุ๊ป ปัจจุบันยังอยู่ในระหว่างการตรวจสอบโดยไม่มีความคืบหน้าอย่างเป็นรูปธรรม นอกจากมีผู้ต้องสงสัยที่เป็นชาวไต้หวัน แต่ในรายละเอียดที่ประชาชนอาจคาดหวังอย่างที่ทางการไต้หวันได้ยึดทรัพย์ไปอีก 4.7 พันล้านบาท ต้องยอมรับว่าหน่วยงานต่างๆ ยังไม่ได้ให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่อย่างที่ควรจะเป็น แต่คณะกรรมาธิการฯ ก็มีความคาดหวังว่าจะมีความก้าวหน้ากว่านี้ เพราะปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาที่มีความร้ายแรง

 

รังสิมันต์กล่าวต่อไปว่าการประชุมวันนี้ยังได้มีการเชิญบุคคลที่มีข้อมูลว่าเกี่ยวพันกับธนาคาร BIC ไม่ว่าจะเป็น สถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธ์, วรภัค ธันยาวงษ์, พล.ต.อ.วิษณุ ปราสาททองโอสถ, อารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม และ รีวิน เพทายบรรลือ โดยได้รับความร่วมมือจากเพียงบุคคลเดียวคือ สถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธ์ ที่มาชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการฯ ด้วยตัวเอง ขณะที่วรภัคไม่ได้มาชี้แจง แต่ทำเป็นหนังสือชี้แจงมาว่า ไม่ได้มีความเกี่ยวพันใดกับธนาคาร BIC รวมถึงอารีพงศ์ก็มีหนังสือชี้แจงมาและพยายามให้ข้อมูลว่าไม่ได้เกี่ยวพันกับธนาคารบีไอซีแต่อย่างใด

 

รังสิมันต์สรุปว่า ข้อมูลที่ได้มาค่อนข้างเป็นประโยชน์ แต่อาจไม่สามารถพูดในรายละเอียดได้เพราะยังต้องนำไปใช้ในการตรวจสอบหลังจากนี้ต่อไป โดยข้อมูลที่ได้มาจากสถิตย์ ค่อนข้างสอดคล้องกับที่สถิตย์ได้มีการพูดในที่สาธารณะอยู่แล้ว ว่าตัวเองไปเป็นประธานของธนาคาร BIC จากการชักชวนของนักธุรกิจคนหนึ่ง โดยเป็นอยู่แค่ปีเดียว และหลังจากนั้นก็ไม่ได้มีการดำเนินการต่อ

 

รังสิมันต์กล่าวต่อไปว่า คณะกรรมาธิการฯ ยังได้สอบถามสถิตย์เรื่องความเชื่อมโยงของธนาคาร BIC กับบริษัทเจิ้งเหอที่ภายหลังถูกคว่ำบาตรโดยทางการอังกฤษ เนื่องจากไปเกี่ยวข้องกับเครือข่ายสแกมเมอร์ ซึ่งสถิตย์ได้ชี้แจงว่าไม่ทราบ และไม่ทราบกรณีที่หลายบุคคลมีชื่อปรากฏความเชื่อมโยงเกี่ยวกับธนาคาร BIC เช่นเดียวกัน ส่วนในเรื่องของ เบน สมิธ กับ ยิมเลียก ในแง่ของความสัมพันธ์ สถิตย์รู้จักกับพ่อของ ยิมเลียก มากกว่า ส่วน เบน สมิธ ไม่ได้มีความสนิทคุ้นเคยเป็นการส่วนตัวและพบกันแค่ไม่กี่ครั้ง

 

ข้อมูลต่างๆ เป็นข้อมูลที่จะต้องไปใช้ในการสอบแสวงหาข้อเท็จจริงต่อไป ซึ่งในสัปดาห์หน้าจะมีการติดตามต่อ และกำลังพิจารณาอยู่ว่าหนึ่งในธุรกิจที่สำคัญต่อการติดตามเรื่องนี้คือ ฮุ่ยวันเปย์ ซึ่งคณะกรรมาธิการฯ พบว่ามีทรัพย์สินที่เกี่ยวพันกับประเทศไทยและมีไพรเวทวอลเล็ตอยู่ที่ 130 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 4,000 ล้านบาท ซึ่งเชื่อได้ว่าเป็นเงินที่เกี่ยวพันกับเครือข่ายสแกมเมอร์ กรรมาธิการฯ จะแสวงหาข้อเท็จจริงต่อไป

 

รังสิมันต์ยังกล่าวต่อไปถึงกรณีที่นายกรัฐมนตรีเซ็นเช็คเปล่าให้หน่วยงานต่างๆ ดำเนินการเรื่องนี้ได้ทันที แต่เมื่อตนถามตัวแทนจาก ปปง. ว่านายกรัฐมนตรีได้มีการสั่งการไปยัง ปปง. เพิ่มเติมอย่างไรบ้าง ปรากฏว่าทาง ปปง. ตอบไม่ได้ นั่นหมายความว่านายกรัฐมนตรีไม่ได้มีการสั่งการเป็นการเฉพาะ วันนี้ปัญหาอย่างหนึ่งคือฝ่ายการเมืองโดยเฉพาะผู้ที่มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวข้องในการกำกับดูแลหน่วยงานต่างๆ ไม่ได้ทำหน้าที่ของตัวเอง ทำให้การแก้ปัญหาทุนสีเทาเป็นไปด้วยความล่าช้า ยังไม่นับว่าความเชื่อมั่นที่ประชาชนมองมายังรัฐบาลก็ลดลงไป

 

รังสิมันต์กล่าวอีกว่า ยิ่งเมื่อวานนี้ (4 พฤศจิกายน) ที่มีการตั้งทนายความของ เบน สมิธ มาเป็นข้าราชการการเมือง แม้จะบอกว่าเป็นเรื่องของโควตาของพรรคการเมืองต่างๆ ที่มีการแบ่งสรรกัน แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าเวลาที่ประชาชนมองก็จะมองว่าทำไมนายกรัฐมนตรีถึงไม่คิดห้ามปรามหรือดำเนินการ เพื่อไม่ให้คนอย่างที่ปรึกษาของ เบน สมิธ เข้าไปมีตำแหน่งที่สูงขนาดนี้ วันนี้หลายประเทศยังมองว่าประเทศไทยเป็นพันธมิตรในการแก้ปัญหาปราบปรามเครือข่ายสแกมเมอร์ แต่หากประเทศไทยยังเป็นแบบนี้อยู่ วันข้างหน้านานาประเทศก็อาจมองว่าที่จริงแล้วประเทศไทยเป็นประเทศที่ไปเกี่ยวพันกับเครือข่ายสแกมเมอร์อย่างแท้จริง โดยที่มีฝ่ายการเมืองและผู้มีอำนาจเข้าไปเกี่ยวข้อง

 

“การตั้งที่ปรึกษาของ ร.อ. ธรรมนัส พรหมเผ่า ซึ่งอีกบทบาทหนึ่งเป็นทนายความของ เบน สมิธ คือการตบหน้าประชาชนอย่างชัดเจน เหยียบย่ำว่ารัฐบาลนี้จะไม่ให้ความสำคัญหรือความสนใจกับการปราบปรามสแกมเมอร์อย่างแท้จริง สุดท้ายการพูดผ่านสื่อก็เป็นแค่เพียงลมปากที่พูดออกมา แต่ไม่ได้นำไปสู่การแก้ปัญหาอย่างที่ควรจะเป็น และทำให้ปัญหาสแกมเมอร์ไม่จบ หน่วยงานต่างๆ ก็ต่างคนต่างทำ แต่ไม่ได้มีการทำงานสอดประสานกันอย่างมียุทธศาสตร์ ที่จะนำไปสู่การทำลายล้างโครงสร้างของอาชญากรรมข้ามชาติอย่างที่ควรจะเป็น เราเองก็ได้แต่เฝ้ามองนานาประเทศมีความคืบหน้า แตประเทศไทยไม่มีความคืบหน้าอะไรเลย นี่คือความน่าหดหู่สำหรับประเทศไทยในการปราบปรามและต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติ” รังสิมันต์กล่าว

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising