×

คำต่อคำ แนวทางขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยสู่พรมแดนใหม่ นายกฯ อนุทิน ย้ำไทยแลนด์เฟิร์ส ไม่เป็นขี้ข้าของใคร

โดย THE STANDARD TEAM
05.11.2025
  • LOADING...
คำต่อคำ แนวทางขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยสู่พรมแดนใหม่ นายกฯ อนุทิน ย้ำ ไทยแลนด์เฟิร์ส ไม่เป็นขี้ข้าของใคร

วันนี้ (5 พฤศจิกายน) THE STANDARD จัดงาน THE STANDARD ECONOMIC FORUM 2025 ภายใต้ธีม Thailand’s Next Frontier : พรมแดนใหม่เศรษฐกิจไทยโดยได้รับเกียรติจาก อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย

 

นายกรัฐมนตรีได้ร่วมแสดงวิสัยทัศน์ ผ่านการสัมภาษณ์พิเศษ​โดย นครินทร์ วนกิจไพบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และบรรณาธิการบริหาร บริษัท เดอะสแตนดาร์ด จำกัด ในหัวข้อ ‘THAILAND’S NEXT FRONTIER: A NATIONAL ECONOMIC VISION’ เพื่อสะท้อนแนวคิดการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย สู่พรมแดนใหม่ในโอกาสการเติบโต และความยั่งยืน เป็นเวลา 45 นาที ดังนี้

 

นครินทร์: ทิศทางของประเทศไทยภายใต้การนำของคุณอนุทิน ตลอดระยะเวลา 1 เดือนที่ผ่านมาเป็นอย่างไร ยากกว่าที่คิดหรือไม่ มีข้อมูลอะไรที่น่าตกใจหรือไม่

 

อนุทิน: ทำงานมาระยะเวลา 1 เดือนนั้น คิดว่าเราได้พยายามบรรลุเป้าหมายทุกอย่างที่เราคาดการณ์ไว้ เนื่องจากเราบอกกับตัวเองว่า เรามีระยะเวลาเพียง 4 เดือนในการบริหารราชการแผ่นดินอย่างเต็มรูปแบบ ก่อนที่เราจะเข้ามาตนได้เร่งประชุมกับทีมงานมาโดยตลอด และเซ็ตกรอบการทำงานเอาไว้ เพื่อให้ 4 เดือนนี้เป็น 4 เดือนที่ทำงานเพียงอย่างเดียว

 

สิ่งที่เราทำได้ เราจะเร่งทำ ส่วนสิ่งที่ทำไม่ได้ภายใน 4 เดือน ก็ให้รอรัฐบาลใหม่มาดำเนินการต่อ มุ่งเน้นในเรื่องของการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจแบบ Quick Win ซึ่งเป็นนโยบายที่นำมาใช้เพื่อให้เห็นผลเร็ว รวมถึงการแก้ไขปัญหาความมั่นคงที่เรามีประเด็นกับประเทศเพื่อนบ้าน และการเร่งฟื้นฟูเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบ ทั้งจากความขัดแย้ง การปะทะ และภัยธรรมชาติ

 

นครินทร์: ทิศทางของประเทศไทยภายใต้การนำของคุณอนุทิน ตลอดระยะเวลา 1 เดือนที่ผ่านมาเป็นอย่างไร ยากกว่าที่คิดหรือไม่ มีข้อมูลอะไรที่น่าตกใจหรือไม่

 

อนุทิน: ในบริบทนั้น เราอยู่ในช่วงเวลา 4 เดือนตามที่ได้ตกลงไว้ สิ่งที่เราได้มีสัญญาไว้กับพรรคประชาชนตาม MOA ที่ลงนามร่วมกันนั้น คือ การที่ผมเข้ามาเป็นรัฐบาล ต้องเรียนว่า ได้มีการพูดคุยกับพรรคประชาชนว่า จากสถานการณ์บ้านเมืองขณะนั้น การยุบสภาเพื่อคืนอำนาจให้กับประชาชนน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

 

แต่ในเวลานั้น ไม่มีใครที่สามารถยุบสภาได้ พรรคที่เป็นรัฐบาลอยู่ในขณะนั้น ก็ยังมีข้อสงสัยว่าจะมีรักษาการนายกรัฐมนตรีสามารถยุบสภาได้หรือไม่ เพราะนายกรัฐมนตรีตัวจริงไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่แล้ว สุดท้ายเรากับพรรคประชาชนเห็นพ้องต้องกันว่า ผู้ที่ทำหน้าที่รักษาการนายกรัฐมนตรีไม่น่าจะมีอำนาจในการยุบสภา ดังนั้นจึงต้องหาวิธีดำเนินการให้สามารถเกิดการยุบสภาได้

 

พรรคประชาชนเองไม่มีแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ส่วนพรรคภูมิใจไทยก็เล่นตามกติกา พรรคประชาชนมีจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมากกว่า แต่ไม่มีแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ขณะเดียวกันทั้งสองพรรคมีความเห็นร่วมกันว่า ประเทศอยู่ในภาวะที่ได้รับความเสียหายมากพอสมควร การคืนอำนาจให้ประชาชนผ่านการเลือกตั้งคือทางออกที่ดีที่สุด ซึ่งจึงเป็นที่มาของ MOA ฉบับนั้น

 

นครินทร์: สามารถยืนยันได้หรือไม่ว่า กรอบเวลาในการยุบสภายังเหมือนเดิม

 

อนุทิน: ตนเองยืนยัน นอนยันมาโดยตลอดไม่เคยเปลี่ยนความคิด มีหลายคนมาเตือนหรือมาพูดกับตนว่า อาจจะมีเหตุการณ์นั้น เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น ซึ่งอาจใช้เป็นข้ออ้างในการไม่ยุบสภาได้ ตนเองก็รับฟัง แต่ขอยืนยันว่าจะไม่ปฏิบัติตามแน่นอน

 

ในฐานะที่ได้ร่วมงานกับพรรคประชาชน ต้องยอมรับว่าพรรคประชาชน คือ ผู้ที่ทำให้ตนเองได้เป็นนายกรัฐมนตรี ดังนั้นตนเองก็ต้องรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับพรรคประชาชน เมื่อครบกำหนด 4 เดือน ตนเองก็จะยุบสภา ไม่ว่าจะมีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้นก็ตาม

 

นครินทร์: มีกระแสข่าวเรื่องการเลื่อนยุบสภา หากมีการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ

 

อนุทิน: เรื่องนี้ผมต้องพิจารณาตามสถานการณ์ในแต่ละช่วงเวลา การอภิปรายไม่ไว้วางใจนั้น ต้องดูว่าอภิปรายโดยใคร และมีวัตถุประสงค์อย่างไร หากวัตถุประสงค์เพื่อการล้างแค้นหรือเอาคืน ผมก็ต้องพิจารณาเช่นกัน แต่หากถามผมว่า สภาจะเปิดเมื่อใด เราต้องยึดตามไทม์ไลน์ที่เป็นจริง ขณะนี้สภามีกำหนดเปิดสมัยประชุมในเดือนธันวาคม และผมตั้งใจจะยุบสภาในวันที่ 31 มกราคม 2569 อยู่แล้ว ผมจะไม่ปล่อยให้ใครมาโจมตีรัฐบาลโดยไม่มีเหตุผล แต่ถ้าเป็นเกมการเมืองแล้วรัฐบาลสู้เกมนั้นไม่ได้ ก็ยอมให้ยุบสภาไปได้เลย

 

ด้วยระยะเวลาห่างกันแค่เดือนเดียวคงจะไม่ได้สร้างความแตกต่างมากนัก เราไม่ควรไปตื่นเต้นกับเรื่องพวกนี้ แต่สิ่งที่ผมมั่นใจคือ ใน 4 เดือนที่ตนทำงาน ตนตั้งใจเต็มที่เพื่อทำสิ่งที่ดีที่สุดให้ประเทศ โดยเฉพาะทีมงานมืออาชีพที่ผมเชิญเข้ามา รัฐมนตรีหลายคนเสียสละ ทั้งเรื่องรายได้ บทบาท และอนาคต

 

หากเราทำได้ และสามารถเปลี่ยนบริบทประเทศไทย สร้างมาตรฐานใหม่ในการบริหารราชการแผ่นดิน ไม่มีระบบโควต้า และทำให้ประชาชนเกิดความเชื่อมั่นและมีความหวังขึ้นมา ผมเชื่อว่า ประเทศไทยจะเปลี่ยนไปได้อย่างรวดเร็ว ทุกอย่างเปลี่ยนได้ในชั่วข้ามคืน หากเรามุ่งทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม เอาผลประโยชน์ส่วนตัวและพรรคพวกออกให้ได้เมื่อใด ประเทศก็จะฟื้นคืนได้เร็ว และผมเชื่อว่าเรามีพลังและความตั้งใจที่จะทำสิ่งนั้นอยู่แล้ว

 

นครินทร์: ในการเลือกตั้งครั้งหน้า มีความพร้อมหรือไม่

 

อนุทิน: ผมพร้อมมาตั้งแต่วันที่เขาเอาผมออกจากรัฐบาลชุดที่แล้วแล้วครับ จริง ๆ พร้อมตั้งแต่ก่อนหน้านั้นด้วยซ้ำ ดังนั้นเรื่องการเลือกตั้ง สำหรับพรรคภูมิใจไทย เราพร้อมอยู่เสมอตั้งแต่วันที่เข้าสภาเมื่อปี 2566 หลังจากที่คณะกรรมการการเลือกตั้งรับรองผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ผมก็ได้แจ้งสมาชิกพรรคทุกคนให้เตรียมพร้อม เพราะการเลือกตั้งสามารถเกิดขึ้นได้ทุกวัน ผมปลูกฝังให้คนในพรรคเข้าใจเสมอว่า หากพรุ่งนี้มีการเลือกตั้ง เราก็ต้องพร้อมลงสนามทันที

 

นครินทร์: พร้อมที่จะกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งหรือไม่ และมีกลยุทธ์ชัดเจนอย่างไร

 

อนุทิน: การได้เป็นนายกรัฐมนตรีก็ดีเหมือนกันครับ ก็ต้องพร้อมอยู่แล้ว วันนี้ผมเป็นอยู่ ตอนที่ยังไม่ได้เป็น ก็อาจจะมีความรู้สึกกล้าๆ กลัวๆ แต่เมื่อได้เข้ามาดำรงตำแหน่งแล้ว เราเห็นว่าสิ่งที่เราทำให้กับบ้านเมืองในฐานะนายกรัฐมนตรี หากเราทำได้ดี จะอยู่ในตำแหน่งยาวหรือสั้น ก็ไม่สำคัญสำหรับผม

 

ผมเคยเป็นรัฐมนตรีครั้งแรกตั้งแต่ปี 2547 แล้วก็มีการรัฐประหาร ในปี 2549 ทำให้ต้องออกจากการเมืองไปกว่า 13 ปี ช่วงเวลานั้นคนที่รู้จัก ก็ยังเรียกผมว่ารัฐมนตรีทุกครั้ง วันนี้ต่อให้ผมเป็นนายกรัฐมนตรีเพียง 3-4 เดือน คนก็ยังเรียกผมว่านายกฯ เหมือนที่ผมเจออดีตนายกฯ อย่างอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หรือทักษิณ ชินวัตร ก็เรียกทุกคนว่านายกฯ ทุกครั้ง

 

เพราะฉะนั้น สิ่งสำคัญไม่ใช่ระยะเวลาที่เราอยู่ในตำแหน่ง แต่อยู่ที่ว่าในเวลาที่เรามี เราได้ทำอะไรให้ปังสักอย่างหนึ่ง เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับบ้านเมือง ให้เป็นภาพจำของประชาชน ไม่ว่าจะได้กลับมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกหรือไม่ก็ตาม สิ่งที่ผมบอกกับตัวเองเสมอคือ ขณะที่ผมได้เป็นนายกฯ ผมต้องทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ที่สุดให้กับประเทศชาติ

 

นครินทร์: สิ่งที่ปังมีหลายเรื่อง เช่น เรื่องการปราบปรามสแกมเมอร์และทุนเทา แต่ขณะนี้ประเทศไทยกำลังถูกมองว่าเป็นศูนย์กลางของการฟอกเงิน นายกรัฐมนตรีมีมาตรการในการแก้ไขอย่างจริงจังอย่างไร

 

อนุทิน: เราต้องทำความเข้าใจก่อนว่า การบอกว่าประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของการฟอกเงินนั้น อาจไม่แฟร์นัก สแกมเมอร์ไม่ใช่ธุรกิจที่ถูกกฎหมาย แต่เป็นธุรกิจที่น่ารังเกียจ และไม่สามารถดำเนินการได้ในประเทศที่มีระบบกฎหมายเข้มแข็งหรือพัฒนาแล้วมากนัก กลุ่มเหล่านี้จึงมักแฝงตัวอยู่ในประเทศที่ยังมีช่องว่างทางกฎหมาย

 

ประเทศไทยไม่ได้เป็นศูนย์กลางของการฟอกเงิน แต่เราอยู่ตรงกลางของภูมิภาค ซึ่งมีความน่าเชื่อถือในสายตาต่างประเทศ ค่าเงินบาทยังเป็นที่ยอมรับในตลาดโลก คนที่ทำสแกมมักจะเก็บเงินสกุลอื่น เช่น เงินจ๊าด เงินกีบ หรือเงินเรียล แต่ท้ายที่สุดก็เลือกเก็บเงินบาทเพื่อนำไปแลกเป็นดอลลาร์หรือยูโร ซึ่งเป็นกระบวนการที่ยุ่งยาก แต่สะท้อนว่าเงินบาทมีความน่าเชื่อถือสูง

 

ดังนั้น ประเทศไทยจึงกลายเป็นตลาดรองรับ ทางอ้อมในโลกยุคปัจจุบัน ไม่ใช่ต้นทางของอาชญากรรม แต่เป็นพื้นที่ที่ธุรกิจสีเทา ไม่ว่าจะเป็นสแกม ยาเสพติด การค้ามนุษย์ หรือธุรกิจผิดกฎหมายอื่นๆ ใช้เป็นฐานในการฟอกเงิน

 

สิ่งสำคัญที่เราต้องทำคือ มีกฎหมายที่เข้มงวด และเจ้าหน้าที่ที่ตั้งใจจริงในการปราบปราม ซึ่งประเทศไทยมีกลไกเหล่านี้ครบถ้วน ทั้งสำนักงาน ปปง. สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกองบัญชาการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ที่ได้ดำเนินงานอย่างจริงจังแล้ว

 

อย่างไรก็ตาม เรื่องเหล่านี้เป็นเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงทุกวัน การเปิดเผยรายละเอียดทั้งหมดต่อสาธารณะอาจทำให้ฝ่ายผู้กระทำผิดรู้เท่าทัน เราจึงต้องใช้กลยุทธ์และความร่วมมือในทางปฏิบัติ โดยได้ย้ำกับผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เลขาธิการปปง. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่า รัฐบาลนี้ไม่มีนักเลง หรือมาเฟีย คนใดใหญ่กว่ารัฐบาล เมื่อรัฐบาลไม่เกรงกลัว ผู้ปฏิบัติงานก็ไม่ควรต้องกลัวเช่นกัน

 

นครินทร์: นโยบายเชิงรุกที่เป็นรูปธรรม

 

อนุทิน: ก็นโยบายที่ตนเองเพิ่งพูดไป รัฐบาลได้เซ็นเช็คเปล่า ในการสนับสนุนเพื่อปราบปรามอาชญากรรมเหล่านี้ มีการพูดคุยกันทุกวัน และผลงานมีอยู่โดยตลอด ทั้งเรื่องยาเสพติดเดือนเดียวจับได้หลายสิบล้านเม็ด เรื่องสแกมก็ยึดทรัพย์มูลค่ากว่า 20,000 ล้านบาท มีการดำเนินคดีและในบางกรณีมีการเพิกถอนสัญชาติด้วย จำนวนผู้ถูกใส่บัญชีดำมีมากขึ้น

 

แต่ข้อมูลบางส่วนไม่สามารถเปิดเผยได้ เพราะต้องทำการสืบสวนในเชิงลับ และขยายผลต่อไปรัฐบาลของตนเองยังทำอยู่อย่างต่อเนื่อง เข้ามาได้เพียง 3 สัปดาห์ก็สามารถถอนสัญชาติ ก็ดำเนินการเรียบร้อย ไม่มีปัญหาอะไร ทุกอย่างได้กระทำไปแล้วในรัฐบาลชุดนี้

 

นครินทร์: อาจจะมีการเกี่ยวข้องกับ วรภัค ธันยาวงษ์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังด้วย

 

อนุทิน: ท่านถูกครหา แต่ยังไม่ถูกกล่าวหา และยังไม่มีหลักฐานใดๆ หรือมีหน่วยงานใด ทั้งในไทยและต่างประเทศดำเนินคดี เมื่อมีข่าวออกมาเรื่อยๆ ตนเองก็ต้องแจ้งโดยตรงให้วรภัคลาออก และให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี เมื่อถูกครหาขึ้นมา และอยู่ในกระทรวงที่มีกลไกของกระทรวงนั้นในการปราบปรามสิ่งเหล่านี้อยู่ ท่านก็แสดงสปิริตทันที

 

เรื่องของการดำเนินการต่างๆ ไม่มีทางที่จะพ้นจากหน่วยงานที่กำลังดำเนินการอยู่ หากไม่ผิดก็คือไม่ผิด จะพูดว่าผิดไม่ได้ เราใช้กฎหมายในรัฐบาลของตน มุ่งเน้นไปที่พฤติกรรมและรูปคดี ไม่ใช่ว่าเกลียดคนนี้ ไม่ชอบคนนี้แล้วจะมาเป็นคู่แข่งทางการเมือง ตนเองคิดว่าสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในรัฐบาลชุดที่แล้ว ที่พยายามใช้กลไกของรัฐมากำจัดคู่แข่งทางการเมือง หรือกีดกัน กล่าวหาให้เกิดความเสียหาย เป็นสิ่งที่ประเทศที่มีอารยธรรมไม่ทำกัน และปล่อยให้เกิดขึ้นไม่ได้

 

ไม่ฉะนั้นจะเกิดเป็นกงกรรมกงเกวียนไม่จบไม่สิ้น และการเมืองทะเลาะกันโดยใช้กลไกรัฐแกล้งกัน ซึ่งคนที่เดือดร้อนคือ ประเทศและประชาชน คนที่เป็นนักการเมืองต้องไม่ทำเช่นนั้น และตนเองก็จะไม่ทำเช่นนั้น

 

ในวันนี้ หากไม่ได้อยู่เพียงแค่ 4 เดือน ตนเป็นมีอำนาจมากที่สุดในรอบ 30 ปี เพราะเป็นนายกรัฐมนตรี ที่ควบเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยด้วย และกำกับดูแลกระทรวงที่สำคัญ รวมถึงหน่วยงานที่สำคัญทั้งหมด หากตนเองเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้น แค่เดือนเดียวก็ทำได้แล้ว แต่แทนที่จะเจ้าคิดเจ้าแค้น กลับมองว่าสิ่งเหล่านี้ต้องเปลี่ยน เพราะบนเวทีโลกเต็มไปด้วย Inclusion, Justice, Resilience, Transparency

 

นครินทร์: นายกรัฐมนตรีเพิ่งเดินทางกลับมาจากการประชุมอาเซียนซัมมิต ที่ประเทศมาเลเซีย และการการประชุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (APEC) ที่ประเทศเกาหลีใต้ ตั้งแต่การลงนามการร่วมลงนามในเอกสาร Joint Decoration ปฏิญญาสันติภาพกับประเทศกัมพูชา ซึ่งมีผู้นำมาเลเซียและผู้นำสหรัฐอเมริกาเป็นสักขีพยาน การลงนามนั้นมีความหมายอย่างไรต่อประเทศไทย และนโยบายที่เป็นรูปธรรมในการแก้ปัญหานี้เป็นอย่างไร

 

อนุทิน: นานาจิตตัง ต่างคนต่างความคิด ตนเองขอใช้โอกาสนี้เรียนประชาชนว่า ประเทศไทยได้ลงนามในปฏิญญา โดยวัตถุประสงค์ที่ตนเต็มใจไปลงนามและตัดสินใจแล้วว่า เพื่อหยุดสงคราม ในฐานะนายกรัฐมนตรี ผมจะให้ประเทศมีสงครามไม่ได้ หน้าที่ของนายกรัฐมนตรี คือ ทำให้ประเทศมีความสงบสุข

 

หลายประเทศอาจมองว่าสงครามเป็นเรื่องหอมหวาน และอาจได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น แต่สำหรับประเทศไทยไม่เป็นเช่นนั้น เพราะเราเป็นประเทศที่มีเอกราชและเป็นตัวของตัวเองมาโดยตลอด การเป็นเช่นนี้ทำให้เราเป็นที่น่าเกรงขามของศัตรูอยู่แล้ว

 

ทั้งนี้ ตนไปลงนามเพื่อให้มั่นใจได้ว่าประเทศไทยจะไม่มีวันเสียดินแดนและไม่มีวันเสียอธิปไตย เพราะในปฏิญญาเขียนอย่างชัดเจนว่า สิ่งใดที่เป็นของไทยก็ต้องเป็นของไทย ไม่มีจุดไหนที่เรายอมแลกเพื่อวัตถุประสงค์อื่น ตนไปเพื่อทำให้เกิดความปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน เพื่อให้เห็นว่าอย่าคิดรุกรานประเทศไทย หากคิดจะรุกรานจะคิดผิดมาก

 

ตนมีเพียง 4 วัตถุประสงค์ และมั่นใจว่า ข้อความของตนใน 4 ข้อนี้ได้ถูกส่งไปยังคู่กรณีอย่างชัดเจน ทั้งยังมีประธานประเทศสมาชิกอาเซียนเป็นพยาน และมีประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาในฐานะพยานของสังคมโลก ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้มั่นใจได้ว่าประเทศไทยจะไม่มีสงคราม หากทุกฝ่ายปฏิบัติตามบันทึกข้อตกลงที่ได้ตกลงไว้

 

นครินทร์: หากมองจากข้อตกลงทั้ง 4 ข้อ ในฐานะนายกรัฐมนตรี ผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมที่จะเกิดขึ้น เกี่ยวกับการทำประชามติยกเลิกบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก (พ.ศ. 2543) และบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา เกี่ยวกับพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนทางทะเลบนไหล่ทวีป (พ.ศ. 2544) ท่านมองภาพตรงนี้อย่างไร

 

อนุทิน: คนละเรื่องกัน ปฏิญญานั้นเป็นเรื่องของการยุติ ไม่ใช่สัญญาสันติภาพ ไม่ใช่สัญญาสงบศึก แต่เป็นประตูแรกที่จะนำไปสู่สันติภาพ ถึงอย่างไรเราก็ควรจะต้องมีสันติภาพในวันหนึ่ง เพราะเราอยู่ตรงกลาง รอบๆ เราไม่มีปัญหาอะไร เราอยากมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนบ้าน โดยไม่ให้มีช่องว่าง เพื่อให้วงกลมสมบูรณ์ครบลูป เพราะหากวงกลมขาดช่วง อาจทำให้เราขับเคลื่อนสิ่งที่ต้องการให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประเทศไม่ได้

 

หากมีการสู้รบกัน การค้าการขายก็จะได้รับผลกระทบ ซึ่งตนเข้าใจและฟังเสียงของพี่น้องประชาชนเสมอ แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องหาวิธีแก้ไขปัญหาให้ได้ มูลค่าการค้าขายในพื้นที่ชายแดนในปีหนึ่งเกือบ 170,000 ล้านบาท ประเทศไทยส่งออกประมาณ 140,000 ล้านบาท แต่เรานำเข้าเพียง 30,000 ล้านบาท หากเกิดความขัดแย้ง เราก็จะเป็นฝ่ายเสียหายมากกว่า

 

ดังนั้น หากเห็นแก่เรื่องการค้าอย่างเดียวก็ไม่ถูก เราต้องฟังเสียงประชาชนด้วย หากประชาชนบอกว่า ไม่เป็นไร แต่ต้องไม่เป็นเบี้ยล่างคู่กรณี ตนก็จะทำตาม แต่ในขณะเดียวกัน เราไม่สามารถปล่อยให้สถานการณ์ค้างอยู่อย่างนี้ไปอีก 30 ปีได้ หากมีช่องทางอื่นที่สามารถตอบโจทย์ประชาชนได้โดยไม่เสียหาย ตนก็พร้อมทำ เพราะในข้อตกลงนั้น ไม่มีส่วนไหนระบุว่า ประเทศไทยต้องปฏิบัติในทางเสียเปรียบ

 

ตนมองว่านี่คือสิ่งที่ยุติธรรม และปฏิญญานี้จะเป็นหนทางนำไปสู่การพัฒนาและฟื้นฟูสิ่งที่เราเสียหายมาให้ดีขึ้น ไม่มีส่วนใดที่ทำเพื่อคู่กรณี มีแต่ทำเพื่อคนไทย เพื่อประเทศไทย ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลได้ดำเนินมาตลอด 1 เดือนที่ผ่านมา

 

นครินทร์: ลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างรัฐบาลสหรัฐอเมริกากับ รัฐบาลราชอาณาจักรไทย ว่าด้วยความร่วมมือในการกระจายห่วงโซ่อุปทานของแร่ธาตุสำคัญระดับโลก และส่งเสริมการลงทุนนั้น มุมมองของประเทศไทยที่อยู่ในทำเลภูมิรัฐศาสตร์แบบนี้ จุดยืนของประเทศไทยคืออะไร

 

อนุทิน: เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องบังเอิญ (Coincidence) หากวันนั้นมีอีก 5 ประเทศมาแสดงเจตจำนงว่าจะลงนาม MOU เช่นนี้ ประเทศไทยก็ไม่มีอะไรเสียหาย แรร์เอิร์ธ คือแร่ที่อยู่ในดิน วันนี้เราเพียงแค่เห็น แต่ยังไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ข้างใน ตนเองต้องการขายหินในราคาทองคำ ไม่ใช่ขายหินในราคาก้อนกรวด ต้องการชั่งกิโลขาย ต้องการขายเป็นเม็ด ตนเองถูกสั่งสอนมาแบบนี้ตั้งแต่สมัยอยู่ภาคเอกชน พ่อสอนมาตลอดว่า หากจะขายของให้ได้กำไร ต้องซื้อมาเป็นเมตร แล้วขายเป็นนิ้ว เรื่องนี้ก็ใช้หลักการเดียวกัน

 

คำว่าแรร์เอิร์ธ ถามว่าก่อนหน้านี้เมื่อสิบปีก่อนเคยได้ยินหรือไม่ นอกจากนักวิชาการ หากตนไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีก็คงแทบไม่ได้สนใจ เพราะชีวิตที่ผ่านมาอยู่กับกระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงมหาดไทย ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ แต่เมื่อมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เรื่องนี้จึงเข้ามาเกี่ยวข้อง เราไม่ได้บอกว่าจะให้สัมปทานกับผู้ใด เพียงแต่ระบุว่า มีโอกาสที่ประเทศไทยจะมีแร่ธาตุหายาก ซึ่งหากสามารถนำไปแปรสภาพ ก็อาจกลายเป็นวัสดุที่สร้างเป็นผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มมูลค่าได้มาก

 

นครินทร์: นายกรัฐมนตรีคิดว่า แร่ธาตุดังกล่าวจะถือเป็นแร่ธาตุเชิงยุทธศาสตร์ของมหาอำนาจสองชาติ คือ สหรัฐอเมริกาและจีนหรือไม่

 

อนุทิน: จะเป็นอะไรก็แล้วแต่ แต่แร่เหล่านี้อยู่ในประเทศไทย และเมื่อประเทศไทยยังมีองค์ความรู้ด้านนี้น้อย หากมีประเทศใดเข้ามาขอความร่วมมือ ศึกษา หรือให้ความรู้กับประเทศไทย เราก็พร้อม เพราะประเทศไทยหมดเวลาไปนานแล้ว ที่เราทำอะไรเองไม่ได้ จะสร้างรถไฟใต้ดินหรือสร้างสะพาน ก็ต้องให้ต่างชาติเข้ามาดำเนินการในอดีต

 

แต่เมื่อเศรษฐกิจของเราเติบโตขึ้น โลกก็เปิดกว้างมากขึ้น จากเดิมที่เราจ้างต่างชาติทำงาน เราก็เริ่มเข้าไป Joint Venture จนถึงขั้นที่บางครั้งเรากลายเป็นผู้รับสัญญาหลักแทน ฉันใดก็ฉันนั้น วันนี้หากประเทศไทยมีทรัพยากรที่มีมูลค่าจริง เราก็ต้องใช้ให้เกิดประโยชน์ โดยมีกฎหมาย มีกฎระเบียบ และมีการทำข้อตกลง (TOR) ที่โปร่งใส เพื่อพัฒนาแร่ธาตุเหล่านี้ เรื่องนี้ไม่ได้เป็นการให้สัมปทานกับใครทั้งสิ้น

 

สำหรับตนเองนั้น ไทยแลนด์เฟิร์สอยู่แล้ว นโยบายของพรรคภูมิใจไทย คือ อะไรก็ตามที่คนไทยมีส่วนร่วมได้ คนไทยทำได้ ตนเองจะต้องหาแต้มต่อให้กับคนไทยให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ส่วนเรื่องแรร์เอิร์ธ ไม่ใช่มีแค่ประเทศไทยประเทศเดียวที่ลงนาม แต่ยังมีอีก 8 ประเทศในอาเซียน ประเทศไทยเพียงแค่เสนอตัวเข้ามาเพื่อศึกษาเท่านั้น และไม่ได้จำกัดว่าต้องร่วมกับประเทศใดประเทศหนึ่ง ใครเสนอเข้ามาเพื่อศึกษา หรือสร้างโอกาสให้ ประเทศไทยก็พร้อมรับฟังและพิจารณา ไม่ได้แตกต่างจากข้อตกลงระหว่างประเทศอื่นๆ ที่เราเคยลงนามมา

 

นครินทร์: การลงนามครั้งนี้มีความเกี่ยวข้องกับภูมิรัฐศาสตร์ นายกรัฐมนตรีได้พบกับโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา รวมถึงสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน แล้วประเทศไทยจะบาลานซ์ และรักษาจุดยืนระหว่างชาติมหาอำนาจทั้งสองอย่างไร

 

อนุทิน: การที่จะบาลานซ์ตนเองกับกับใคร เราต้องเริ่มจากความจริงใจ และต้องมีความมั่นใจในตัวเองว่า เราก็มีดีเหมือนกัน เราอย่าเล่นเป็นนกมีหู หนูมีปีก กระโดดโลดเต้นไปทั่ว สุดท้ายคนที่หมดแรงก็คือเราเอง ประเทศไทยมีจุดแข็งมากมาย เรามีคนเก่ง มีเทคโนโลยี เงินทุนก็ไม่ได้ขาด และยังสามารถจัดหาความร่วมมือจากประเทศที่เป็นเจ้าของเทคโนโลยีต่างๆ เข้ามาได้ ดังนั้น สิ่งสำคัญคือการวางตัวของเราให้เป็นพาร์ตเนอร์ ให้เป็นคู่ค้า และคู่คิด ไม่ใช่ขี้ข้าของใคร

 

นครินทร์: ประเทศไทยจำเป็นต้องเลือกข้างหรือไม่

 

อนุทิน: เราเลือกข้างตัวเอง เราต้องคิดถึงประโยชน์สูงสุดของประเทศเป็นสำคัญ สุดท้ายแล้วเราต้องอยู่ได้ด้วยตัวเอง หากวันหนึ่งไม่มีใครคบเรา เราก็ต้องมั่นใจว่าเราสามารถผลิตอาหารและปัจจัย 4 ได้ ซึ่งความจริงแล้ว โอกาสที่เราจะถึงจุดนั้นก็เกิดขึ้นได้ยาก เพราะประเทศไทยมีจุดแข็งหลายอย่าง เรามีแหล่งพลังงานของตัวเอง มีก๊าซธรรมชาติ และสามารถพัฒนาเทคโนโลยีต่างๆ จนกลายเป็นแหล่งผลิต เป็นซัพพลายเชน เป็นแหล่งกำเนิดของผลิตภัณฑ์ต่างๆ ได้ ทุกอย่างสามารถเกิดขึ้นได้ในประเทศไทย

 

ประเทศไทยยังมีศักยภาพอีกมาก เราเห็นชุมชนต่างๆ แล้วสงสัยว่า ทำไมยังต้องไปลงทุนในประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งที่ในประเทศไทยเองก็ยังมีพื้นที่อีกมากมาย ทำไมต้องเน้นเฉพาะพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ทำไมไม่กระจายการลงทุนไปทั่วทุกจังหวัด จังหวัดที่อยู่รอบ EEC ก็สามารถให้การลงทุนได้เท่าเทียมกัน ถ้ามีทรัพยากรในพื้นที่ เช่น แร่ธาตุ ทำไมจะพัฒนาไม่ได้

 

ประเทศไทยเคยทำได้แล้ว สมัยที่ค้นพบแร่สังกะสีที่อำเภอผาแดง จังหวัดตาก เมื่อมีการลงทุนเข้าไป จังหวัดตากก็กลายเป็นพื้นที่เศรษฐกิจที่เติบโตขึ้นอย่างมาก สร้างรายได้และโอกาสให้กับพี่น้องประชาชน นี่คือแนวคิดหลัก เรามีโอกาสอีกมากในการสร้างความมั่นคงทางภูมิรัฐศาสตร์ แต่ต้องทำทุกมิติไปพร้อมกัน

 

ตนเองเคยพูดกับผู้นำหลายประเทศว่า เราน่าจะจ้างคนเขียนสปีชเพียงคนเดียวได้เลย เพราะบริบทที่ทุกประเทศพูดนั้นคล้ายกันหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง Geopolitics, Sustainability, Leave No One Behind อยู่ที่ว่าใครจะหยิบคำไหนขึ้นมาก่อน เพราะทั้งหมดอยู่ในกรอบเดียวกัน

 

ดังนั้น สิ่งที่ประเทศไทยต้องทำ คือสร้างภูมิรัฐศาสตร์ที่แข็งแรง ควบคู่ไปกับการสร้างระบบความยุติธรรมให้มีความยุติธรรมจริง ๆ ต้องมี Inclusivity ให้ทุกคนมีความเท่าเทียมกัน สร้างความน่าเชื่อถือ เพื่อให้ประเทศไทยมีโอกาสเข้าเป็นสมาชิก OECD และยกระดับดัชนีความเชื่อมั่นของประเทศให้สูงขึ้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้คือรากฐานของภูมิรัฐศาสตร์ที่มั่นคงและยั่งยืนอย่างแท้จริง

 

นครินทร์: ปัญหาในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องหนี้ หรือความสามารถในการแข่งขัน แม้จะมีเวลาเพียง 4 เดือน นายกรัฐมนตรีมีแนวคิดหรือทิศทางอย่างไร ที่จะทำให้ประเทศไทยกลับมาแข็งแรงอีกครั้ง

 

อนุทิน: ตามนโยบาย Quick Big Win ของรัฐบาลชุดนี้คือการมีทีมที่แข็งแรง ทั้ง เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง, ศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ที่ดูแลด้านเศรษฐกิจ ล้วนเป็นผู้มีความเข้าใจกลไกของรัฐและเป็นนักปฏิบัติจริง

 

ในฐานะรัฐบาล เรื่องปากท้องของประชาชนคือสิ่งสำคัญที่สุด เมื่อเรามีช่องทางอย่างนโยบายคนละครึ่งพลัส ก็มีบางคนพูดว่าอาจเป็นการคัดลอกนโยบายของรัฐบาลก่อน แต่ตนไม่ได้คิดเช่นนั้น สิ่งที่ตนคิดคือ ประชาชนได้อะไร หากประชาชนได้ และนโยบายสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้แค่ระดับ 0.5% หรือ 0.7% ก็ถือว่าดีที่สุด เพราะสิ่งสำคัญคือเม็ดเงินลงสู่ระบบ ประชาชนได้ใช้ และรู้สึกว่าตนเองมีส่วนร่วม ไม่ใช่เพียงการแจกฟรี

 

เพราะเมื่อมีการแจกฟรี เดี๋ยวเจ้าหนี้ก็มาทวง แต่คนละครึ่ง คือการที่ประชาชนร่วมจ่าย รัฐสมทบ เป็นการคูณสองที่สร้างแรงกระตุ้นทางเศรษฐกิจให้เกิดกระแสหมุนเวียนขึ้นทั่วประเทศ ไม่ว่าจะยากดีมีจน

 

คนที่ใช้มือถือสมาร์ทโฟนก็สามารถลงทะเบียนได้ ส่วนคนที่ใช้ไม่เป็น รัฐบาลก็มีนโยบายสวัสดิการแห่งรัฐเติมเงินให้โดยตรง ทุกคนต่างได้รับสิทธิเท่าเทียมกัน เช่น ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐได้รับ 2,000 บาท ซึ่งช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างขวัญกำลังใจให้ประชาชน ถือเป็นสิ่งที่รัฐบาลในระยะเวลาเพียง 4 เดือนสามารถทำได้ และได้รับการตอบรับจากประชาชนอย่างดี

 

ขณะเดียวกัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ก็เดินหน้าแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือน โดยเฉพาะการปรับโครงสร้างหนี้ไม่เกิน 100,000 บาท สำหรับประชาชนที่หาเช้ากินค่ำ ซึ่งถือเป็นมาตรการที่มีความหมายและสำคัญมาก

 

ส่วนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ก็ขับเคลื่อนนโยบาย ไฟฟ้าชุมชน ภายใต้แนวคิดเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) เพื่อให้ประชาชนเข้าใจบริบทพลังงานยุคใหม่ ที่ต้องลดการพึ่งพาคาร์บอนและใช้พลังงานสะอาด

 

รัฐบาลมีแผนสร้างโรงไฟฟ้าชุมชนทั่วประเทศ รวมกำลังผลิต 1,500 เมกะวัตต์ โดยแต่ละแห่งไม่เกิน 500 เมกะวัตต์ เพื่อให้แต่ละหมู่บ้านมีไฟฟ้าใช้เพียงพอ หากใช้ไม่หมดก็สามารถขายคืนระบบได้ รายได้ส่วนนี้จะเข้าสู่กองทุนพัฒนาหมู่บ้าน เพื่อยกระดับชุมชน

 

สิ่งเหล่านี้คือการสร้างความคุ้นเคยให้ประชาชนอยู่ในโลกที่มีกติกาใหม่ รักธรรมชาติ ใช้พลังงานอย่างรู้คุณค่า และอยู่ร่วมกับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ซึ่งเป็น Groundwork ที่รัฐบาลชุดนี้วางไว้ให้รัฐบาลในอนาคตสามารถต่อยอดได้ต่อไป

 

นครินทร์: 3 สิ่งที่ต้องโฟกัสที่สุด เพื่อให้สำเร็จมากที่สุด ภายในระยะเวลา 4 เดือนนี้ นายกรัฐมนตรี จะจัด Priority (ลำดับความสำคัญ) อย่างไร

 

อนุทิน: การลำดับความสำคัญของตนเอง คือ การยุบสภาในวันที่ 31 มกราคม อย่างช้าที่สุด และเราก็ต้องทำในสิ่งที่ตั้งใจไว้ ตอนแรกเราพยายามเข็นโครงการ คนละครึ่งพลัสออกมาให้ได้ภายในระยะเวลา 3 สัปดาห์หลังเข้ามาบริหารบ้านเมือง ตอนนี้เรากำลังคิดถึง คนละครึ่งพลัส เฟส 2 ซึ่งน่าจะทำได้ในช่วงครึ่งหลังของเดือนธันวาคม และจะทำให้เสร็จก่อนยุบสภา เพื่อให้ประชาชนได้อาฟเตอร์ช็อกอีกครั้ง

 

ส่วนเรื่องการแก้ไขปัญหาหนี้ และการผลักดันค่าโดยสารขนส่งสาธารณะ เราได้นำมาต่อยอดจากสิ่งที่รัฐบาลก่อนเคยทำและยังค้างคา เพื่อให้เสร็จสมบูรณ์ ถามว่าเป็น ไพรออริตี้จริงหรือไม่ ใช่ครับ เพราะสิ่งสำคัญคือการยกระดับคุณภาพชีวิตและปัญหาปากท้องของประชาชนให้ดีขึ้น

 

ขณะที่ ปัญหาชายแดน เราก็สามารถแก้ไขได้ ตั้งแต่ตนเองเข้ามารับตำแหน่ง ยังไม่มีลูกกระสุนสักลูก ไม่มีระเบิด ไม่มีจรวด และไม่มีทหารได้รับบาดเจ็บ เพราะเรามีจุดยืนชัดเจนว่าจะไม่มีเหตุการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้นเด็ดขาด

 

ส่วนเรื่องเปิดด่านก็เช่นกัน เราทำตามสิ่งที่เป็นความต้องการของประชาชน เพื่อสร้างความมั่นใจและความรู้สึกว่าประเทศของเราแข็งแรง เราจึงต้องดำเนินนโยบายในลักษณะนี้ เปิดด่านเป็นไพรออริตี้ สุดท้ายของประชาชน จากนี้ไปจนถึงจุดนั้น ตนเองขอยืนยันว่าจะไม่มีสิ่งใดที่ทำให้คนไทยเสียเปรียบ หากคิดด้วยความเป็นธรรม และจะไม่ยอมอะไรที่ไม่เป็นธรรมกับคู่กรณีแน่นอน

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising