เศรษฐกิจและภาคธุรกิจไทยกำลังเผชิญหน้ากับความท้าทายครั้งใหญ่จากสถานการณ์รอบด้าน ทั้งความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ สงครามการค้า และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
จงรัก รัตนเพียร ผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย ฉายภาพความท้าทายและแรงกดดันที่ประเทศไทยกำลังเผชิญ ทั้งจากปัจจัยภายในประเทศที่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง อาทิ หนี้สาธารณะและหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง การมาถึงของสังคมสูงวัย รวมถึงมาตรการทางการค้าจากประเทศคู่ค้า ซึ่งส่งผลต่อศักยภาพในการแข่งขัน
“ปัจจุบันเศรษฐกิจไทยยังโตต่ำกว่า 2% นอกจากความท้าทายเชิงโครงสร้างของไทย การค้าระหว่างประเทศยังเผชิญความไม่แน่นอนจากนโยบายใหม่ อาทิ EU CBAM ที่จะเริ่มเก็บค่าธรรมเนียมคาร์บอนตั้งแต่ปี 2569 ส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยเพิ่มมากขึ้น จากปัจจุบันครอบคลุมมูลค่าสินค้า 1.1 หมื่นล้านบาท เป็นราว 2.8 หมื่นล้านบาท ภายในปี 2573 ดังนั้นธุรกิจที่ปรับตัวได้ก่อนจะสร้างความได้เปรียบ”
นอกจากปัญหาด้านเศรษฐกิจแล้ว ยังมีปัญหาด้านภูมิอากาศ ถ้าเราไม่เริ่มปรับตัวกันตั้งแต่วันนี้ คาดการณ์ว่าปี 2050 หากอุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้น 2.6 องศา GDP ประเทศไทยจะหายไป 34% และกระทบ GDP โลกราว 14%
ปัจจุบันทุกภาคส่วนกำลังพยายามขับเคลื่อนเรื่องความยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐที่เร่งปรับโครงสร้างและกำหนดทิศทางเชิงนโยบาย ภาคเอกชนก็เริ่มปรับกลยุทธ์ธุรกิจตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อรับมือกับความท้าทายและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน รวมไปถึงภาคประชาชนก็มีบทบาทในฐานะผู้บริโภคที่ใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม สนับสนุนธุรกิจที่ทำเรื่อง ESG และปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตให้เป็นมิตรกับโลกมากขึ้น
‘กสิกรไทย’ ปักธง ‘ผู้ให้บริการโซลูชัน ด้านสภาพภูมิอากาศที่ครอบคลุมที่สุด’ เพิ่มเป้าอัดฉีดเม็ดเงินความยั่งยืน 4-5 แสนล้านบาท ภายในปี 2030
สำหรับบทบาทภาคการเงินของ ‘ธนาคารกสิกรไทย’ ภายใต้วิสัยทัศน์ในการดำเนินธุรกิจบนหลักการธนาคารแห่งความยั่งยืน ได้เล็งเห็นว่า กระแสความท้าทายที่เกิดขึ้น ธุรกิจจำเป็นต้องปรับตัวไปสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรัฐบาลเพิ่งประกาศนโยบายใหม่ให้ไทยบรรลุเป้า Net Zero เร็วขึ้น 15 ปี จากเดิมปี 2065 เป็นปี 2050 ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่เขย่าอนาคตภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมของไทย
“จากการประเมินปัจจัยรอบด้านที่เกิดขึ้น ธนาคารกสิกรไทยได้ทบทวนกลยุทธ์การทำงานด้านความยั่งยืน เพื่อช่วยให้ธนาคารสามารถรับมือกับความเปลี่ยนแปลงได้เร็วขึ้น ตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าและสังคมได้ชัดเจนขึ้น” จงรักกล่าว
เป็นที่มาของการประกาศปรับยุทธศาสตร์ความยั่งยืน จากเดิมที่ให้ความสำคัญกับแต่ละแกนของ ESG เป็นหลัก ธนาคารกสิกรไทยเลือกใช้แนวทางใหม่ หันมาจับประเด็นสำคัญแบบองค์รวม บนแนวคิด ‘Issue-based Strategy’ เชื่อมโยงทุกด้านที่เกี่ยวข้อง ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล ตามปณิธานในการเป็น ‘ธนาคารแห่งความยั่งยืน’ (Bank of Sustainability) พาทุกภาคส่วนเดินหน้าฝ่าคลื่นความท้าทายและเติบโตอย่างยั่งยืนไปด้วยกัน ภายใต้ความมุ่งหมาย 3 แกนหลัก ได้แก่
- Be a Most Trusted Bank: มุ่งมั่นเป็นธนาคารที่ทุกคนเชื่อมั่น ผ่านการบริการลูกค้าด้วยความใส่ใจและตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า มีการกำกับดูแลกิจการที่โปร่งใสและยึดมั่นในหลักจริยธรรม
- Reinforce Future-Ready Resilience: เตรียมความพร้อมทั้งองค์กรและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียให้สามารถรับมือกับความไม่แน่นอนและร่วมก้าวสู่โอกาสการเติบโตใหม่ๆ ในอนาคต ผ่านการบริหารความเสี่ยงรอบด้าน การสร้างและพัฒนานวัตกรรมไปจนถึงบริการที่ตอบโจทย์อนาคต และการพัฒนาขีดความสามารถทั้งบุคลากร ระบบ และองค์กร
- Enable Inclusive Growth: สร้างการเติบโตที่ครอบคลุมและทั่วถึง เพิ่มโอกาสเข้าถึงผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน การให้ความรู้และการใช้ประโยชน์จากเครื่องมือทางการเงินและการสร้างความเสมอภาคทางการเงิน
กางผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริงจากการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ความยั่งยืน
หนึ่งในไฮไลท์สำคัญของการประกาศยุทธศาสตร์ความยั่งยืนบทใหม่ของธนาคารกสิกรไทยเพื่อก้าวสู่การเป็น “ผู้ให้บริการโซลูชัน ด้านสภาพภูมิอากาศที่ครอบคลุมที่สุด“ คือการขยับเป้าปล่อยสินเชื่อเพื่อความยั่งยืนจากเดิม 1-2 แสนล้านบาท สู่เป้าหมายใหม่ที่ 4-5 แสนล้านบาท ภายในปี 2030
“ปัจจุบัน ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2568 เราปล่อยสินเชื่อไปแล้วกว่า 1.73 แสนล้านบาท คาดว่าจบปี 2025 จะจบที่ 2 แสนล้านบาท”
นอกจากตัวเลขสินเชื่อที่เพิ่มขึ้นและคาดว่าจะส่งผลกระทบในวงกว้างให้กับภาคธุรกิจไปจนถึงเศรษฐกิจประเทศ ยังมีตัวอย่างผลลัพธ์จากการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ความยั่งยืนของธนาคารกสิกรไทยที่ได้ดำเนินการไปแล้วและวัดผลได้จริงใน 2 แกนหลัก ได้แก่
1.ส่งเสริมศักยภาพเพื่อสร้างความยืดหยุ่นและความแข็งแกร่ง (Strengthening Capabilities to Enhance Resilience)
“บทบาทสำคัญของธนาคารคือการซัพพอร์ตเศรษฐกิจไทย ดังนั้นการที่เราสามารถผลักดันเศรษฐกิจให้เติบโตได้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่งถือเป็นความรับผิดชอบของเรา” จงรัก กล่าวต่อว่า ธนาคารไม่ได้เป็นเพียงผู้ให้สินเชื่อหรือบริการทางการเงินเท่านั้น แต่ยังเป็นผู้เสริมสร้างศักยภาพเพื่อให้ลูกค้า ธุรกิจ และสังคมมีความยืดหยุ่นและแข็งแกร่ง ด้วยการส่งมอบโซลูชันทางการเงินที่ครอบคลุม ควบคู่กับการให้องค์ความรู้และเครื่องมือที่จำเป็นต่อการเติบโตอย่างยั่งยืน
เริ่มตั้งแต่การขับเคลื่อนการเงินอย่างยั่งยืนผ่านการให้สินเชื่อคุณภาพที่สอดคล้องกับศักยภาพของผู้รับ ตามหลัก Responsible Lending ของธนาคารแห่งประเทศไทย ควบคู่กับการยกระดับกระบวนการสินเชื่อแบบครบวงจรด้วย Data & AI ในการปรับปรุงกระบวนการประเมินความเสี่ยงและการตัดสินใจอนุมัติสินเชื่อ เพื่อลดความเสี่ยงและเพิ่มคุณภาพของการปล่อยสินเชื่อใหม่ นอกจากนี้สำหรับสินเชื่อผู้ประกอบการขนาดกลางขึ้นไป และ Project Finance ธนาคารยังมีการประเมินความเสี่ยงด้าน ESG ครบ 100%
“ปัจจุบันเรามีการส่งมอบโซลูชันการเงินที่ครอบคลุมลูกค้าทุกกลุ่มในหลากหลายรูปแบบ อาทิ การสนับสนุนอุตสาหกรรมสีเขียว ด้วยโซลูชันพลังงานหมุนเวียนโดย KF&E และการส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมผ่าน KLeasing หรือเสริมสร้างการลงทุนที่ยั่งยืนผ่าน KAsset ที่เพิ่มโอกาสการลงทุนในธุรกิจที่ขับเคลื่อนบนหลักการ ESG ปัจจุบัน KAsset ครองส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับ 1 ของประเทศใน ESG Fund และ SRI Fund ด้วยมูลค่าสินทรัพย์รวมภายใต้การจัดการ (AUM) กว่า 3.89 หมื่นล้านบาท และ 3.79 หมื่นล้านบาท ตามลำดับ รวมทั้งมี Beacon Venture Capital ที่ลงทุนในธุรกิจที่สร้างผลกระทบเชิงบวก”
ซึ่งการจะไปถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้นั้น จงรักบอกว่าจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องส่งมอบองค์ความรู้ด้านการเงิน การลงทุน ความปลอดภัยไซเบอร์ การพัฒนาทักษะดิจิทัล และการผสานแนวคิดด้าน ESG เข้าไปในทุกจุด ตลอดจนการสนับสนุนผู้ประกอบการ SME และ Startups ด้วยเครือข่ายและเครื่องมือต่างๆ ของธนาคารกสิกรไทย อาทิ
- ‘สติ’ แคมเปญให้ความรู้ทางการเงินและความปลอดภัยไซเบอร์ สร้างการรับรู้กับลูกค้าและประชาชนกว่า 16.4 ล้านราย
- KResearch ในไตรมาสแรกของปี 68 เผยแพร่ข้อมูลเศรษฐกิจและธุรกิจไปแล้วกว่า 350 ฉบับและ เข้าถึงผู้อ่านกว่า 6.58 ล้านคน
- KWEALTH ที่มีการพัฒนาองค์ความรู้ผ่านความร่วมมือพันธมิตรระดับโลก รวมทั้งเทรนด์การลงทุน ESG ซึ่งมีผู้สนใจเข้าถึงข้อมูลผ่านเว็บไซต์กว่า 1.68 ล้านเพจวิว และมีการรับชมคลิปบนยูทูปกว่า 11.19 ล้านครั้ง
- KSME สนับสนุนผู้ประกอบการ SME ผ่านโครงการ K SME Care และช่องทางต่าง ๆ รองรับผู้ประกอบการไปแล้วกว่า 1.8 ล้านราย
- SKILL KAMP หลักสูตรพัฒนาทักษะและศักยภาพด้านดิจิทัลกว่า 355 หลักสูตร มีผู้เข้าร่วม 8,000 คน
- KATALYST โครงการส่งเสริมความรู้และเครือข่ายให้แก่สตาร์ทอัพ โดยมีสตาร์ทอัพผ่านการเรียนรู้ 155 ราย
2. เร่งเครื่องการเปลี่ยนผ่านด้านสภาพภูมิอากาศ เพื่อส่งมอบอนาคตที่ยั่งยืน (Accelerating Climate Transition to Secure a Sustainable Future)
ธนาคารกสิกรไทย ได้ประกาศเจตนารมณ์สู่ Net Zero มาตั้งแต่ปี 2564 นอกจากนี้ ยังได้ตั้งเป้าหมายที่จะเป็น ‘The Most Comprehensive Climate Solution Provider ‘ผู้ให้บริการโซลูชันด้านสภาพภูมิอากาศที่ครอบคลุมที่สุด’ ก้าวไปไกลกว่าการให้การสนับสนุนทางการเงิน (Moving beyond finance) เพื่อช่วยสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันที่จำเป็นให้กับลูกค้า
จงรักฉายภาพการขับเคลื่อนการดำเนินงานภายในของธนาคารบนพันธกิจสู่ Net Zero ที่สร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้แล้ว 17% (เทียบข้อมูลจากปี 2024) รวมทั้งได้รับการรับรองว่าเป็นองค์กรที่เป็นกลางทางคาร์บอนต่อเนื่องถึง 8 ปี (ปี 2561-2568)
“สำหรับลูกค้าในพอร์ตโฟลิโอของธนาคาร ธนาคารได้วางแผนกลยุทธ์รายอุตสาหกรรม (Sector Decarbonization Strategy) เพื่อเข้าไปควบคุมและสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านอย่างใกล้ชิด จำนวน 6 กลุ่มอุตสาหกรรม ได้แก่ กลุ่มโรงไฟฟ้า กลุ่มน้ำมันและก๊าซธรรมชาติต้นน้ำ กลุ่มเหมืองถ่านหินประเภทเชื้อเพลิงให้ความร้อน กลุ่มซีเมนต์ กลุ่มอลูมิเนียม และกลุ่มยานยนต์ โดยพอร์ตโฟลิโออุตสาหกรรมโรงไฟฟ้ามีระดับความเข้มข้นของการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Emission Intensity per GWh) ลดลง 26% ในปี 2567 เมื่อเทียบกับปีฐาน 2563 (ค.ศ.2020)”
มองภาพรวม ผลลัพธ์การเร่งเครื่องเปลี่ยนผ่านด้านสภาพภูมิอากาศของธนาคารกสิกรไทย จากการปล่อยสินเชื่อและการลงทุนเพื่อความยั่งยืนไปแล้วกว่า 1.73 แสนล้านบาท ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2568 ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากกว่า 2.74 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ประกอบด้วยสินเชื่อรถยนต์ไฟฟ้ากว่า 39,000 คัน สินเชื่อเพื่ออาคารสีเขียวมากกว่า 1 ล้านตารางเมตร สินเชื่อสำหรับโครงการทางธุรกิจเพื่อความยั่งยืนกว่า 500 โครงการ รวมถึงการดำเนินงานในมิติ Beyond Banking Solution
ไม่ว่าจะเป็นการก่อตั้ง Creative Climate Research Center เพื่อเป็นศูนย์กลางความรู้ การร่วมมือ การวิจัย และการแบ่งปันองค์ความรู้ด้าน Net Zero ในอาเซียน พร้อมทั้งจัดหลักสูตรพัฒนาผู้นำและบุคลากรทุกระดับ ตั้งแต่ผู้บริหารจนถึงมืออาชีพในองค์กร ครอบคลุม 4 แกนหลัก Education, Collaboration, Research และ Knowledge Sharing เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถในการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียวและยั่งยืน อาทิ NET ZERO CEO หลักสูตรสำหรับผู้บริหารระดับสูงด้านความยั่งยืน, NET ZERO LEADER หลักสูตรสำหรับผู้นำการเปลี่ยนแปลงด้านความยั่งยืน, NET ZERO PROFESSIONAL หลักสูตรสำหรับผู้เชี่ยวชาญเชิงกลยุทธ์ในการดำเนินงานด้านความยั่งยืน และ NET ZERO PROFESSIONAL (Powered by SKILL KAMP) หลักสูตรออนไลน์ตามความต้องการ มุ่งเน้นกลยุทธ์การปฏิบัติด้านความยั่งยืน
“เราวางตัวเองเป็นพันธมิตรในการเปลี่ยนผ่านเพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถและความแข็งแกร่งในการแข่งขันให้กับลูกค้า โดยมีเครื่องมือที่ช่วยวัดผลและจัดการคาร์บอนอย่าง KCLIMATE 1.5 และบริการให้คำปรึกษาเชิงกลยุทธ์ KCLIMATE Advisory Service เพื่อส่งมอบ Climate Solution ที่จะช่วยเสริมสร้างศักยภาพให้แก่ลูกค้า ส่งเสริมการสร้าง Carbon Ecosystem ที่ครอบคลุมทุกมิติของการแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศ หรือแม้แต่การริเริ่มโครงการต่างๆ เพื่อสร้าง Carbon Ecosystem เช่น Watt’s Up แพลตฟอร์มสำหรับรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า หรือแพลตฟอร์ม Green Pass สำหรับการขอใบรับรอง RECs และแพลตฟอร์ม K-GreenSpace ที่ช่วยให้ลูกค้าเข้าถึงโซลูชัน Green Living ได้ง่ายขึ้น”
นอกจากนี้ ธนาคารเชื่อมั่นว่าการขับเคลื่อนธุรกิจไทยสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน จึงร่วมกับพันธมิตรจากภาคเอกชน ภาครัฐ ภาคการเงิน และภาควิชาการ จัดตั้ง “เครือข่ายธุรกิจเพื่อการจัดการสภาพภูมิอากาศประเทศไทย” (Thailand Climate Business Network: Thai CBN) ซึ่งมีสมาชิกกว่า 34 องค์กร ร่วมกันผลักดันแนวปฏิบัติด้าน Climate ที่นำไปใช้ได้จริง ตั้งแต่ระดับ SME จนถึงข้อเสนอเชิงนโยบายระดับประเทศ โดยเครือข่าย Thai CBN ได้จัดทำ E-Handbook for Greener SMEs และ White Paper – Climate Ecosystem Collaboration เพื่อส่งมอบให้ภาครัฐ ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างพลังร่วมระหว่างภาคธุรกิจและภาครัฐในการเร่งการเปลี่ยนผ่านของประเทศอย่างยั่งยืนและมีส่วนร่วม
“ความยั่งยืนเป็นความรับผิดชอบของทุกคน” จงรักเน้นย้ำว่าทุกพันธกิจที่ธนาคารขับเคลื่อนต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนที่เชื่อมโยงกันในระบบนิเวศ สร้างรากฐานที่ยืดหยุ่น แข็งแกร่ง และมีคุณภาพให้แก่ผู้มีส่วนได้เสียอย่างสมดุล
“เป้าหมายหลักของธนาคารกสิกรไทยคือการสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ผ่านบริการทางการเงิน ความรู้ การลงทุนที่ถูกทิศทาง และเราไม่สามารถสร้างความสำเร็จนี้ได้เพียงลำพัง ต้องอาศัยความร่วมมือของทุกภาคส่วน สร้างรากฐานเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง ยกระดับคุณภาพชีวิตและความสามารถในการแข่งขัน เพื่อให้ทุกชีวิตและธุรกิจสามารถก้าวข้ามความท้าทายและเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน” จงรักกล่าวทิ้งท้าย